คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3699/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้สัญญาใช้คำว่า หนังสือสัญญาการซื้อขาย แต่โจทก์จำเลยมีข้อตกลงกันว่า โจทก์ในฐานะผู้ซื้อยินยอมให้จำเลยพักอาศัยอยู่ในบ้านพิพาทต่อไป หากโจทก์ต้องการเข้าพักอาศัยในบ้านพิพาทเมื่อใดจำเลยยินยอม ขนย้ายสิ่งของออกจากบ้านพิพาทภายใน 1 วัน หลังจากโจทก์แจ้งให้จำเลยทราบและจำเลยจะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาทให้โจทก์ภายใน 3 วัน ดังนี้ย่อมเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย แม้มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ฟ้องร้องให้บังคับคดีได้ เพราะมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยผู้ต้องรับผิด และมีการชำระหนี้แล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคสอง จำเลยฎีกาว่า ที่ดินปลูกบ้านพิพาทเป็นที่ราชพัสดุ จำเลยเท่านั้นมีสิทธิการเช่าอยู่อาศัย โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยส่งมอบบ้านพิพาทให้เท่านั้น มิได้ฟ้องขอสิทธิการเช่าด้วย โจทก์จึงไม่มีสิทธิบังคับให้จำเลยออกไปจากที่ดินแปลงดังกล่าว แต่จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2529 จำเลยได้ทำสัญญาขายบ้านให้แก่โจทก์ ในราคา 54,100 บาท โดยมีข้อตกลงว่า เมื่อโจทก์ต้องการเข้าอยู่อาศัยเมื่อใด โจทก์จะแจ้งให้จำเลยทราบแล้วจำเลยจะจดทะเบียนโอนให้จำเลยได้รับเงินจากโจทก์ครบถ้วนในวันทำสัญญาแล้วต่อมาวันที่ 23 มิถุนายน 2530 โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยส่งมอบบ้านดังกล่าว แต่จำเลยไม่ปฏิบัติ ขอให้บังคับจำเลยส่งมอบบ้านตามฟ้องให้แก่โจทก์ และห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องต่อไป
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้ขายบ้านให้แก่โจทก์ สัญญาซื้อขายตามฟ้องเป็นเอกสารปลอม และคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ไม่อาจบังคับได้เพราะเป็นสัญญาที่ไม่จดทะเบียนการซื้อขายต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยส่งมอบบ้านตามฟ้องให้แก่โจทก์ ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องต่อไป
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า หนังสือสัญญาการซื้อขายเอกสารหมาย จ.1ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะมีผลสมบูรณ์ใช้บังคับได้ตามกฎหมายหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้เอกสารหมาย จ.1 จะใช้คำว่าหนังสือสัญญาการซื้อขาย แต่โจทก์จำเลยมีข้อตกลงกันว่าโจทก์ในฐานะผู้ซื้อยินยอมให้จำเลยพักอาศัยอยู่ในบ้านพิพาทต่อไป หากโจทก์ต้องการเข้าพักอาศัยในบ้านพิพาทเมื่อใด จำเลยยินยอมขนย้ายสิ่งของออกจากบ้านพิพาทภายใน 1 วัน หลังจากโจทก์แจ้งให้จำเลยทราบและจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาทให้โจทก์ภายใน 3 วันเอกสารหมาย จ.1 จึงเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคสอง แม้มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ฟ้องร้องให้บังคับคดีได้เพราะมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยผู้ต้องรับผิด และมีการชำระหนี้แล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้นที่จำเลยฎีกาว่า ที่ดินที่ปลูกบ้านพิพาทเป็นที่ราชพัสดุ จำเลยเท่านั้นมีสิทธิการเช่าอยู่อาศัย โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยส่งมอบบ้านพิพาทให้เท่านั้น มิได้ฟ้องขอสิทธิการเช่าด้วย โจทก์จึงไม่มีสิทธิบังคับให้จำเลยออกไปจากที่ดินแปลงดังกล่าวได้นั้นจำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จำเลยจะยกขึ้นอ้างอิงในชั้นฎีกามิได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายืน

Share