แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อจำเลยได้ก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยและหอพักที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นเสร็จแล้วเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2540 จำเลยกลับใช้อาคารดังกล่าวเป็นโรงแรม โดยยังไม่ได้รับใบรับรองให้ใช้อาคารดังกล่าวจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น และยังไม่ได้ใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น ให้เปลี่ยนการใช้อาคารประเภทควบคุมการใช้สำหรับกิจการหนึ่งไปใช้เป็นอาคารประเภทควบคุมการใช้สำหรับอีกกิจการหนึ่ง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดสองกรรมตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 32 วรรคสาม กระทงหนึ่ง กับมาตรา 32 วรรคท้าย และมาตรา 33 วรรคสองอีกกระทงหนึ่ง
ความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ระงับการใช้อาคารส่วนที่ยังไม่ได้รับใบรับรองให้ใช้อาคาร และฐานฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ระงับการใช้อาคารส่วนที่ยังไม่ได้รับใบอนุญาตให้เปลี่ยนการใช้อาคารประเภทควบคุมการใช้สำหรับกิจการหนึ่งไปใช้เป็นอาคารประเภทควบคุมการใช้สำหรับอีกกิจการหนึ่ง แม้เจ้าพนักงานท้องถิ่นจะได้แจ้งคำสั่งให้ระงับการการใช้อาคารทั้งสองลักษณะให้จำเลยทราบพร้อมกัน และจำเลยได้ฝ่าฝืนคำสั่งทั้งสองดังกล่าวในขณะเดียวกันก็ตาม แต่ความผิดทั้งสองข้อหามีองค์ประกอบความผิดที่แตกต่างกัน แต่ละข้อหาจะมีความผิดตลอดไปจนกว่าจำเลยได้รับใบรับรองให้ใช้อาคารและจนกว่าจำเลยได้รับใบอนุญาตให้เปลี่ยนการใช้อาคารแล้วแต่กรณี และการได้รับใบรับรองให้ใช้อาคารและใบอนุญาตในแต่ละกรณี เป็นคนละเรื่องไม่เกี่ยวข้องกัน และอาจได้รับใบรับรองให้ใช้อาคารและใบอนุญาตในระยะเวลาที่แตกต่างกันด้วย ทั้งความผิดฐานใช้อาคารโดยไม่ได้รับใบรับรองให้ใช้อาคารและฐานใช้อาคารเพื่อการอื่นนอกจากที่ระบุไว้ในใบอนุญาตเป็นความผิดหลายกรรมอีกด้วย การกระทำความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นทั้งสองลักษณะจึงย่อมเป็นความผิดหลายกรรมแยกต่างหากจากกันได้เช่นกัน
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานใช้อาคารประเภทควบคุมการใช้โดยไม่ได้รับใบรับรองให้ใช้อาคารตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2540 ถึงวันที่ 4 ธันวาคม 2540 จึงต้องลงโทษปรับจำเลยเป็นรายวันตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 65 วรรคสอง เพียงถึงวันที่ 4 ธันวาคม 2540 เท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔ , ๓๒ , ๓๓ , ๔๔ , ๔๗ , ๔๗ ทวิ , ๖๕ , ๖๗ , ๖๙ , ๗๐ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๘ , ๙๑ บวกโทษจำคุกของจำเลยที่รอไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๔๖๔๗/๒๕๔๐ ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้ และปรับจำเลยเป็นรายวัน วันละไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท ตลอดเวลาที่จำเลยยังฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่น
จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓๒ วรรคสามและวรรคท้าย , ๓๓ (ที่ถูก ๓๓ วรรคสอง) , ๔๔ , ๖๕ , ๖๗ , ๗๐ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๕ พิพากษาแก้
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า การกระทำผิดของจำเลยในความผิดข้อหาที่ ๑ ฐานใช้อาคารประเภทควบคุมการใช้โดยไม่ได้ใบรับรองให้ใช้อาคาร กับข้อหาที่ ๓ ฐานเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองอาคารประเภทควบคุมการใช้ใช้อาคารเพื่อกิจการอื่นนอกจากที่ระบุไว้ในใบอนุญาต และความผิดข้อหาที่ ๒ ฐานเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองอาคารฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ระงับการใช้อาคารส่วนที่ยังไม่ได้รับใบรับรองให้ใช้อาคาร กับข้อหาที่ ๔ ฐานเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองอาคารฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ระงับการใช้อาคารส่วนที่ยังไม่ได้รับใบอนุญาตให้เปลี่ยนการใช้อาคาร ฯ ต่างเป็นการกระทำซึ่งมีเจตนาประสงค์ต่อผลอันเดียวกันคือการใช้อาคารอันเป็นการต่อเนื่องในคราวเดียวโดยไม่ขาดตอน จึงถือได้ว่าเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทที่ต้องใช้กฎหมายซึ่งมีโทษหนักที่สุดลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ นั้น เห็นว่า แม้อาคารที่เป็นมูลเหตุแห่งการกระทำผิดของจำเลยจะเป็นอาคารหลังเดียวกับที่จำเลยได้ขออนุญาตก่อสร้างจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นเพื่อใช้เป็นที่พักอาศัยและหอพัก อันเป็นอาคารเพื่อกิจการพาณิชยกรรมประเภทควบคุมการใช้โดยจำเลยได้ก่อสร้างอาคารแล้วเสร็จเมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๔๐ ก็ตาม แต่ในการที่จำเลยจะใช้อาคารที่จำเลยก่อสร้างนั้นจะต้องได้รับการตรวจสอบและใบรับรองให้ใช้อาคารจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นก่อน เพื่อที่จะได้ทราบว่าได้ก่อสร้างถูกต้องตามแบบแปลนที่ได้ขออนุญาตก่อสร้างและอาคารมั่นคงปลอดภัยในการที่จะเข้าใช้อาคารหรือไม่ การที่จำเลยยังไม่ได้รับใบรับรองให้ใช้อาคารแต่จำเลยกลับเข้าใช้อาคารเช่นนี้ จึงเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓๒ วรรคสาม ฐานใช้อาคารประเภทควบคุมการใช้โดยไม่ได้ใบรับรองให้ใช้อาคาร ซึ่งเป็นเจตนากระทำผิดกรรมหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้วโดยไม่ต้องคำนึงการที่จำเลยเข้าใช้อาคารที่ไม่ได้ใบรับรองนั้นจะเป็นการเข้าใช้ในกิจการตามที่ได้รับใบอนุญาตให้ก่อสร้าง หรือเข้าใช้เพื่อกิจการอื่นต่างจากที่ได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นหรือไม่ ส่วนการที่จำเลยเข้าใช้อาคารเพื่อกิจการอื่นต่างไปจากที่ได้ขออนุญาตก่อสร้างจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นนั้น แม้ในการใช้อาคารดังกล่าวจำเลยใช้ดำเนินกิจการโรงแรม ซึ่งเป็นอาคารควบคุมการใช้เช่นเดียวกับที่จำเลยใช้เพื่อดำเนินกิจการพาณิชยกรรมตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓๒ (๑) (๒) ก็ตาม แต่ในการที่จะเปลี่ยนการใช้อาคารเป็นโรงแรม จำเลยต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นหรือได้แจ้งให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นทราบก่อนแล้วตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓๓ วรรคสอง เมื่อจำเลยยังไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นหรือได้แจ้งให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นทราบก่อนเช่นนี้ จึงเห็นได้ถึงเจตนาของจำเลยที่จะฝ่าฝืนใช้อาคารที่ได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างสำหรับใช้เพื่อกิจการพาณิชยกรรมไปใช้อาคารเพื่อกิจการอื่น อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓๒ วรรคท้าย และมาตรา ๓๓ วรรคสอง ฐานเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองอาคารประเภทควบคุมการใช้ใช้อาคารเพื่อกิจการอื่นนอกจากที่ระบุไว้ในใบอนุญาตและฐานเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองอาคารเปลี่ยนการใช้อาคารประเภทควบคุมการใช้สำหรับกิจการหนึ่งไปใช้เป็นอาคารประเภทควบคุมการใช้สำหรับอีกกิจการหนึ่งโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ซึ่งเป็นการกระทำผิดอีกกระทงหนึ่งต่างหาก ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า การกระทำผิดของจำเลยฐานใช้อาคารประเภทควบคุมการใช้โดยไม่ได้ใบรับรองให้ใช้อาคาร และฐานเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองอาคารประเภทควบคุมการใช้ใช้อาคารเพื่อกิจการอื่นนอกจากที่ระบุไว้ในใบอนุญาต ฯ เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันนั้นชอบแล้ว สำหรับความผิดข้อหาที่ ๒ ฐานเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองอาคารฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ระงับการใช้อาคารส่วนที่ยังไม่ได้รับใบรับรองให้ใช้อาคาร และความผิดข้อหาที่ ๔ ฐานเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองอาคารฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ระงับการใช้อาคารส่วนที่ยังไม่ได้รับใบอนุญาตให้เปลี่ยนการใช้อาคาร ฯ นั้น แม้เจ้าพนักงานท้องถิ่น เทศบาลนครเชียงใหม่จะได้แจ้งคำสั่งให้ระงับการใช้อาคารทั้งสองลักษณะให้จำเลยทราบพร้อมกันในวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๐ และจำเลยได้ฝ่าฝืนคำสั่งทั้งสองดังกล่าวในขณะเดียวกันก็ตาม แต่ความผิดทั้งสองข้อหามีองค์ประกอบความผิดที่แตกต่างกัน กล่าวคือ ความผิดข้อหาที่ ๒ จะยังคงเป็นความผิดตลอดไปจนกว่าจำเลยได้รับใบรับรองให้ใช้อาคาร แต่ความผิดข้อหาที่ ๔ นั้น จะยังคงเป็นความผิดตลอดไปจนกว่าจำเลยได้รับใบอนุญาตให้เปลี่ยนการใช้อาคารประเภทควบคุมการใช้สำหรับกิจการหนึ่งไปใช้เป็นอาคารประเภทควบคุมการใช้สำหรับอีกกิจการหนึ่ง ซึ่งการที่จะได้รับใบรับรองให้ใช้อาคารและใบอนุญาตในแต่ละกรณีดังกล่าวเป็นคนละเรื่องไม่เกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด และอาจจะได้ใบรับรองให้ใช้อาคารและใบอนุญาตให้เปลี่ยนการใช้อาคารในระยะเวลาที่แตกต่างกันได้ด้วย ประกอบกับได้วินิจฉัยแล้วว่า ความผิดฐานใช้อาคารประเภทควบคุมการใช้โดยไม่ได้ใบรับรองให้ใช้อาคาร และฐานเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองอาคารประเภทควบคุมการใช้ใช้อาคารเพื่อกิจการอื่นนอกจากที่ระบุไว้ในใบอนุญาต ฯ เป็นความผิดหลายกรรม ดังนั้น การกระทำความผิดฐานเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองอาคารฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ระงับการใช้อาคารที่ยังไม่ได้รับใบรับรองให้ใช้อาคาร และฐานเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองอาคารฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ระงับการใช้อาคารส่วนที่ยังไม่ได้รับใบอนุญาตให้เปลี่ยนการใช้อาคาร ฯ จึงย่อมเป็นความผิดหลายกรรมแยกต่างหากจากกันได้เช่นกัน ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าการกระทำความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานเป็นหลายกรรมนั้นชอบแล้วเช่นกัน
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๕ พิพากษาให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานใช้อาคารประเภทควบคุมการใช้โดยไม่ได้ใบรับรองให้ใช้อาคาร ปรับวันละ ๒,๐๐๐ บาท นับแต่วันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๔๐ เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้องนั้น ไม่ถูกต้อง เนื่องจากโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ใช้อาคารดังกล่าวตั้งแต่วันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๔๐ ถึงวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๐ จำเลยจึงต้องรับโทษปรับถึงวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๐ เท่านั้น ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานใช้อาคารประเภทควบคุมการใช้โดยไม่ได้ใบรับรองให้ใช้อาคาร ปรับนับแต่วันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๔๐ ถึงวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๐ อีกสถานหนึ่ง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๕.