แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
อัตราดอกเบี้ยตามสัญญากู้เงินฉบับพิพาท ได้กำหนดไว้เป็น 2 อัตรา คืออัตราสูงสุดสำหรับกรณี ผู้กู้มิได้ปฏิบัติผิดนัดผิดเงื่อนตามสัญญาขณะทำสัญญาเท่ากับร้อยละ 16 ต่อปี และอัตราสูงสุดสำหรับกรณีผู้กู้ปฏิบัติผิดนัดผิดเงื่อนไขตามสัญญาขณะทำสัญญาเท่ากับร้อยละ 18.5 ต่อปี ซึ่งอัตราดอกเบี้ยทั้งสองอัตราดังกล่าวอาจเปลี่ยนแปลงโดยเพิ่มหรือลดลงได้ตามที่โจทก์ผู้ให้กู้จะประกาศกำหนดเป็นคราว ๆ เมื่อดอกเบี้ยอัตราสูงสุดผิดเงื่อนไขมีอัตราสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยสูงสุดซึ่งใช้สำหรับ กรณีที่ผู้กู้มิได้ปฏิบัติผิดนัดผิดเงื่อนไขตามสัญญา จึงแสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์และจำเลยคู่สัญญาว่าประสงค์จะให้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นค่าเสียหายแก่โจทก์ในกรณีที่จำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ โดยกำหนดเป็นค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าในรูปของดอกเบี้ยที่คิดเพิ่มขึ้น ดอกเบี้ยที่คิดเพิ่มขึ้นนี้จึงมีลักษณะ เป็นเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379 ซึ่งถ้าสูงเกินส่วนศาลย่อมมีอำนาจลดลง เป็นจำนวนพอสมควรได้ ตาม มาตรา 383
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 4,506,565.16 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19.75 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 3,961,577.01 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์หากไม่ชำระ ให้นำทรัพย์จำนองรวมทั้งทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 3,961,577.01 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.75 ต่อปีนับแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2540 ถึง วันที่ 8 กันยายน 2540 อัตราร้อยละ 15.25 ต่อปี นับแต่วันที่ 9 กันยายน 2540 ถึงวันที่ 12 ตุลาคม 2540 อัตราร้อยละ 15.75 ต่อปี นับแต่วันที่ 13 ตุลาคม 2540 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2540 และอัตราร้อยละ 16 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2540 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วน ให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 74865 และ 74866 ตำบลเสม็ด อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาด แล้วนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 19.5 และ 19.75 ต่อปี นับจากวันที่ 1 พฤศจิกายน 2540 และวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2541 ตามลำดับ ซึ่งโจทก์เรียกร้องจากจำเลยเป็นเบี้ยปรับหรือไม่ ตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.7 ข้อ 2 มีใจความว่า ผู้กู้ยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่ผู้ให้กู้ในอัตราสูงสุดสำหรับลูกค้าทั่วไปที่ผู้ให้กู้ประกาศกำหนดภายใต้ประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่า “อัตราสูงสุด” เว้นแต่เมื่อผู้กู้ปฏิบัติผิดนัดผิดเงื่อนไขผู้กู้ยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดสำหรับลูกค้าที่ปฏิบัติผิดเงื่อนไขที่ผู้ให้กู้ประกาศกำหนดภายใต้ประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่า “อัตราสูงสุดผิดเงื่อนไข” แทนอัตราสูงสุดดังกล่าวข้างต้น ซึ่งขณะทำสัญญานี้อัตราสูงสุดเท่ากับร้อยละ 16 ต่อปี และอัตราสูงสุดผิดเงื่อนไขเท่ากับร้อยละ 18.5 ต่อปี แต่ต่อไปอัตราดังกล่าวอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามที่ผู้ให้กู้จะประกาศกำหนดเป็นคราว ๆ เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.7 ได้กำหนดไว้เป็น 2 อัตรา คืออัตราสูงสุดสำหรับกรณีผู้กู้มิได้ปฏิบัติผิดนัดผิดเงื่อนไขตามสัญญาขณะทำสัญญาเท่ากับร้อยละ 16 ต่อปี และอัตราสูงสุดสำหรับกรณีผู้กู้ปฏิบัติผิดนัดผิดเงื่อนไขตามสัญญาขณะทำสัญญาเท่ากับร้อยละ 18.5 ต่อปี ซึ่งอัตราดอกเบี้ยทั้งสองดังกล่าวอาจเปลี่ยนแปลงโดยเพิ่มหรือลดลงไดตามที่โจทก์ผู้ให้กู้จะประกาศกำหนด เป็นคราว ๆ เมื่อดอกเบี้ยอัตราสูงสุดผิดเงื่อนไขมีอัตราสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยสูงสุดซึ่งใช้สำหรับกรณีที่ผู้กู้มิได้ปฏิบัติผิดนัดผิดเงื่อนไขตามสัญญา จึงแสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์และจำเลยคู่สัญญาว่าประสงค์จะให้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นค่าเสียหายแก่โจทก์ในกรณีที่จำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ โดยกำหนดเป็นค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าในรูปของดอกเบี้ยที่คิดเพิ่มขึ้น ดอกเบี้ยที่คิดเพิ่มขึ้นนี้จึงมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379 ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยผ่อนชำระต้นเงินและดอกเบี้ยแก่โจทก์ 8 ครั้ง โดยชำระครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2540 เป็นเงิน 56,000 บาท แล้วจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์จึงปรับเพิ่มดอกเบี้ยในอัตราสำหรับกรณีผู้กู้ปฏิบัติผิดนัดผิดเงื่อนไขตามสัญญาโดยโจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19.5 และ 19.75 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2540 และวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2541 ตามลำดับ ตามบัญชีเงินให้กู้เอกสารหมาย จ.10 แทนอัตราดอกเบี้ยกรณีที่จำเลยมิได้ปฏิบัติผิดนัดผิดเงื่อนไขตามสัญญา ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นผลมาจากการที่จำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้อัตราดอกเบี้ยที่คิดเพิ่มขึ้นนี้จึงเป็นเบี้ยปรับดังได้วินิจฉัยแล้วข้างต้น ซึ่งถ้าสูงเกินส่วน ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจใช้ลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 ฉะนั้น เมื่อดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นนับแต่วันที่มีการผิดนัดดังกล่าวเป็นเบี้ยปรับและศาลชั้นต้นเห็นว่าเบี้ยปรับนั้นสูงเกินส่วน ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจลดเบี้ยปรับลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ เมื่อพิจารณาถึงเบี้ยปรับที่โจทก์ได้รับจากจำเลยมาบ้างแล้ว
พิพากษายืน