คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3611/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ล.กับป.พยานโจทก์จะมีพฤติการณ์เป็นผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกัน กับจำเลยแต่เมื่อโจทก์ได้กันส.กับป.ไว้เป็นพยานคำเบิกความของ พยานทั้งสองปากดังกล่าวอาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้แต่มี น้ำหนักน้อยมิใช่ว่าจะรับฟังไม่ได้เสียเลยทีเดียวถ้าโจทก์มีพยานอื่น ประกอบก็รับฟังลงโทษจำเลยได้ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 401/2496,1769/2509 และ 2001/2514) จำเลยได้ใช้ให้ ส.ฆ่าว. ผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนโดยได้มอบ อาวุธปืนของกลางให้ ส.นำไปหาโอกาสยิงว.ผู้ตายแม้ส.ยังมิได้กระทำผิด เพราะไม่มีโอกาสฆ่าผู้ตายการกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) ประกอบกับมาตรา 85วรรคสอง จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) ประกอบด้วยมาตรา84 วรรคสองซึ่งต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสาม ของโทษที่กำหนดไว้นั้นให้ลดโทษประหารชีวิตหนึ่งในสามเป็นจำคุก ตลอดชีวิตตามมาตรา 52(1) และให้เปลี่ยนโทษจำคุกตลอดชีวิต อันเป็นโทษสองในสามของโทษประหารชีวิตเป็นจำคุก 50 ปีตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 53 ซึ่งต้องลงโทษเพียงหนึ่งในสาม ของโทษประหารชีวิตคือกึ่งหนึ่งของโทษจำคุก50 ปี จึงเป็นโทษ จำคุก 25 ปี (โปรดดูคำพิพากษาฎีกาที่ 91/2510 ประชุมใหญ่)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 มีอาวุธปืนออโตเมติก ขนาด .45 (11 ม.ม.) คนละกระบอกไม่มีเครื่องหมายทะเบียน ใช้ยิงได้ พร้อมกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต และจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ได้พาอาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านและทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว ต่อมาจำเลยที่ 1 กับพวกได้ร่วมกันก่อให้จ่าสิบตำรวจสมบูรณ์และจำเลยที่ 2 กระทำผิดกฎหมายด้วยการใช้ จ้าง วาน ให้คนทั้งสองฆ่านายวรวุฒิแต่จ่าสิบตำรวจสมบูรณ์ยังมิได้ฆ่านายวรวุฒิเนื่องจากโอกาสไม่อำนวย ต่อมาจำเลยที่ 2 ได้ใช้อาวุธปืนยิงนายวรวุฒิตามที่จำเลยที่ 1 กับพวกใช้จ้างวานโดยเจตนาฆ่า นายวรวุฒิถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลยทั้งสองกับพวกโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289, 371พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ
จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(4) และพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(4) ประกอบด้วยมาตรา 84 วรรคสองและมาตรา 52 และมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า แม้จ่าสิบตำรวจสมบูรณ์และพลตำรวจประสิทธิจะมีพฤติการณ์เป็นผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันกับจำเลยที่ 1 แต่เมื่อโจทก์ได้กันจ่าสิบตำรวจสมบูรณ์และพลตำรวจประสิทธิไว้เป็นพยาน คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองปากดังกล่าวอาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ แต่มีน้ำหนักน้อยมิใช่ว่าจะรับฟังไม่ได้เสียเลยทีเดียว และถ้าโจทก์มีพยานอื่นประกอบ ก็รับฟังลงโทษจำเลยได้
ข้อเท็จจริงเป็นอันเชื่อได้ว่า จำเลยที่ 1 ได้ใช้ให้จ่าสิบตำรวจสมบูรณ์ฆ่านายวรวุฒิผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยได้มอบอาวุธปืนของกลางให้จ่าสิบตำรวจสมบูรณ์นำไปหาโอกาสยิงผู้ตาย แม้จ่าสิบตำรวจสมบูรณ์ยังมิได้กระทำผิดเพราะไม่มีโอกาสฆ่าผู้ตาย การกระทำของจำเลยที่ 1 ก็เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(4) ประกอบกับ มาตรา 84 วรรคสอง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) ประกอบด้วยมาตรา 84 วรรคสองและมาตรา 52(1) โดยให้ลดโทษประหารชีวิตหนึ่งในสามเป็นจำคุกตลอดชีวิต และให้เปลี่ยนโทษจำคุกตลอดชีวิตอันเป็นโทษสองในสามของโทษประหารชีวิตเป็นโทษจำคุก 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 53 ซึ่งต้องลงโทษจำเลยที่ 1 เพียงหนึ่งในสามของโทษประหารชีวิต คือ กึ่งหนึ่งของโทษจำคุก 50 ปี เป็นจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้มีกำหนด 25 ปี และลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7, 72 คำสั่งของคณะปฏิวัติการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 45 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519ข้อ 6 จำคุก 2 ปี ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลงหนึ่งในสามคงจำคุกกระทงแรก 16 ปี 8 เดือน และจำคุกกระทงหลัง 1 ปี 4 เดือน รวมจำคุก 18 ปี

Share