คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 361/2478

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ทำร้ายร่างกายเขาแลทุบตีทรัพย์ของเขาแล้วเก็บเอาปืนของเขาไปเพื่อใช้ยิงต่อสู้ผู้จับกุม ไม่เป็นผิดฐานชิงทรัพย์ เพราะไม่มีเถยยะจิตต์เป็นโจร ทำร้ายเจ้าพนักงานถึงสาหัสคืองอศอกแลกำมือไม่ได้นั้นเป็นสาหัสในลักษณสามัญควรวางโทษเพียง 7 ปี ไม่ควรวางโทษถึง 10 ปี จำเลยเคยต้องโทษแลพ้นโทษมาแล้ว แม้มาทำผิดในขณะกำลังต้องโทษเรื่องอื่นอยู่ก็เอาโทษที่เคยถูกจำคุกแลพ้นมาแล้วนั้นมาเพิ่มโทษจำเลยได้ อ้างฎีกาที่ 649/2477

ย่อยาว

จำเลยที่ ๑ กับ ผ.พวกอีกคน ๑ เป็นพลทหารถูกจำคุกอยู่ ได้ช่วยกันทำร้ายร่างกายผู้บังคับกองเรือนจำถึงสาหัส คือ งอศอกแลกำมือไม่ได้ แล้วส่วนจำเลยที่ ๒ ใช้ไม้ตีไม่ถึงบาดเจ็บโดยไม่ได้สมคบกับจำเลยที่ ๑ แล ผ.แล้วจำเลยที่ ๑ กับ ผ.ได้ขึ้นเรือนผู้บังคับกองเรือนจำทุบตีทรัพย์สมบัติต่าง ๆ เสียหาย แล ผ.ได้เก็บเอาปืนพกแลกะสุนปืนบนเรือนมาใช้ยิงต่อสู้ผู้ที่จะเข้าจับกุม เมื่อ ผ.ถูกยิงตายจำเลยที่ ๑ ได้โยนปืนให้เจ้าหน้าที่ ก่อนที่จำเลยที่ ๑ ถูกจำคุกได้เคยต้องโทษแลพ้นโทษฐานลักทรัพย์แลฐานมีสุราเถื่อนมาแล้ว
ศาลทหารบกที่ ๑ พิพากษาลงโทษจำเลยที่ ๑ ตามกฎหมายอาญาทหาร ม.๓๘-๔๐ แลกฎหมายอาญา ม.๒๕๗ จำคุก ๕ ปี ฐานชิงทรัพย์ตามมาตรา ๒๙๙ จำคุก ๓ ปี แต่ไม่เพิ่มโทษ ลงโทษจำเลยที่ ๒ ตามกฎหมายอาญาทหาร ม.๓๘ จำคุก ๒ ปี
ศาลทหารกลางแก้โทษจำเลยที่ ๑ ฐานทำร้ายร่างกายเป็น ๑๐ ปี ฐานชิงทรัพย์แก้เป็นฐานทำให้เสียทรัพย์ตามมาตรา ๓๒๔ จำคุก ๑ ปี แลไม่เพิ่มโทษตามศาลชั้นต้น แก้โทษจำเลยที่ ๒ เป็น ๔ ปี
คดีมีฎีกาฉะเพาะจำเลยที่ ๑
ศาลฎีกาเห็นว่า กิริยาที่พาเอาปืนไปไม่มีเถยยจิตต์เป็นโจร ไม่เป็นผิดฐานชิงทรัพย์ ส่วนกำหนดโทษฐานทำร้ายร่างกายแรงเกินไป เพราะเป็นเพียงสาหัสในลักษณสามัญ จึงแก้เหลือ ๗ ปี ส่วนการเพิ่มโทษนั้นเห็นว่าเพิ่มได้ เพราะเอาโทษที่จำเลยเคยรับแลเคยพ้นโทษมาแล้วในครั้งก่อน ๆ มาเพิ่ม จึงเพิ่มโทษจำเลยที่ ๑ ทั้ง ๒ ฐานตามมาตรา ๗๒ อีก ๑ ใน ๓

Share