คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 36/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

รถจักรยานของกลางเป็นของ ป. ที่ถูกคนร้ายลักไป แต่จำเลยที่ 1 กลับอ้างว่าเป็นของตน ซึ่งไม่เป็นความจริง ประกอบกับรถจักรยานของกลางได้ถูกเปลี่ยนสภาพให้แตกต่างไปจากเดิมในขณะที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1 โดยมีการเปลี่ยนที่นั่งซ้อนท้ายใหม่และทาสีเขียวอ่อนทับสีเขียวแก่ไว้ พฤติการณ์ตามรูปคดีแสดงว่าจำเลยที่ 1 รับรถจักรยานของกลางไว้ในความครอบครองโดยรู้ว่าเป็นของคนร้ายที่ได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานรับของโจร.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา335, 357 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5)พ.ศ. 2525 มาตรา 11 และคืนของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357 (ที่ถูกเป็นมาตรา 357 วรรคแรก) จำคุก 1 ปี สำหรับจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง และคืนของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว เห็นว่า ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้แน่ชัดว่ารถจักรยานของกลางเป็นของนายปทุมหรือของจำเลยที่ 1 จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยที่ 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ด้วย ส่วนรถจักรยานของกลางให้เจ้าของที่แท้จริงไปว่ากล่าวกันเอง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่านายปทุมแสงแก้ว และจำเลยที่ 1 ต่างมีรถจักรยานแบบผู้หญิงสีเขียวแก่คนละ 1 คัน เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2530 เวลาประมาณ 6 นาฬิกาคนร้ายลักรถจักรยานของนายปทุมที่นางรัตนา ศิลาขาว นำไปจอดไว้ที่บริเวณตลาดสดเทศบาลเมืองปทุมธานี ต่อมาเวลาประมาณ 17 นาฬิกา ของวันที่ 29 กันยายน 2530 นางรัตนาเห็นรถคันนั้นจอดอยู่ที่แผงลอยหน้าโรงภาพยนตร์เจริญผลรามา แม้จะใช้สีเขียวอ่อนทาทับสีเก่าซึ่งเป็นสีเขียวแก่ไว้ก็ยังจำได้ว่าเป็นรถจักรยานคันที่ถูกคนร้ายลักไป เพราะมีลักษณะพิเศษตรงที่บังโคลนหน้าบิดไปทางขวา บังโคลนหลังเจาะรูใช้ลวดผูกยึดติดกับโครงของบังโคลนและที่นั่งซ้อนท้ายจึงนำเจ้าพนักงานตำรวจมายึดรถคันนั้นซึ่งจำเลยที่ 2 ยืมมาจากจำเลยที่ 1 ส่งร้อยตำรวจโทสมพงษ์ เตชะสมบูรณ์ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองปทุมธานี หลังจากนั้นเจ้าพนักงานตำรวจได้ไปจับจำเลยที่ 1 มาดำเนินคดีหาว่าเป็นคนร้ายลักทรัพย์หรือรับของโจรรถจักรยานของกลาง จำเลยที่ 1 ปฏิเสธและนำสืบว่ารถจักรยานของกลางเป็นของจำเลยที่ 1 มีปัญหาว่า รถจักรยานของกลางใช่รถจักรยานคันของนายปทุมที่คนร้ายลักไปหรือไม่…
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว โจทก์มีนายปทุมเจ้าของและนางรัตนาซึ่งยืมรถจักรยานของนายปทุมใช้บ่อย ๆ ยืนยันว่า รถจักรยานของนายปทุมมีลักษณะพิเศษที่กล่าวแล้วแตกต่างกับรถจักรยานคันอื่น ๆ การที่นางรัตนาและนายปทุมมาเห็นรถจักรยานคันนั้นในภายหลัง แม้จะเปลี่ยนแปลงไปบ้างโดยได้เปลี่ยนที่นั่งซ้อนท้ายใหม่และมีการทาสีเขียวอ่อนทับสีเขียวแก่ไว้ แต่ยังคงเห็นยี่ห้อและสีเดิมอยู่ ก็เชื่อว่านางรัตนาและนายปทุมจำรถของกลางได้ นางรัตนา นายปทุมไม่เคยรู้จักจำเลยที่ 1 มาก่อน ไม่มีเหตุที่จะให้ระแวงว่าจะแกล้งเบิกความเพื่อให้จำเลยที่ 1 ต้องรับโทษ คำพยานทั้งสองของโจทก์จึงมีน้ำหนัก ที่จำเลยที่ 1 นำสืบว่า รถของกลางเป็นของจำเลยที่ 1เห็นว่า รถจักรยานของจำเลยที่ 1 อยู่ในสภาพเป็นรถใหม่เพราะซื้อมาก่อนเกิดเหตุราว 3 ปี ไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่ในสภาพเป็นรถเก่าเช่นรถของกลาง เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่นำสืบให้เห็นว่าเหตุใดรถจักรยานของจำเลยที่ 1 จึงอยู่ในสภาพเช่นนั้น ข้อนำสืบของจำเลยที่ 1 จึงเลื่อนลอย ฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ไม่ได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่ารถจักรยานของกลางเป็นของนายปทุมที่ถูกคนร้ายลักไป เมื่อจำเลยที่ 1 กลับอ้างว่า รถของกลางเป็นรถของจำเลยที่ 1 ซึ่งไม่เป็นความจริง ประกอบกับเมื่อรถจักรยานของกลางถูกเปลี่ยนสภาพให้แตกต่างไปจากเดิมโดยมีการเปลี่ยนที่นั่งซ้อนท้ายใหม่และทาสีเขียวอ่อนทับสีเขียวแก่ไว้ และจำเลยที่ 1 ไม่นำสืบให้เห็นว่าได้รับรถจักรยานของกลางมาในสภาพเช่นนั้นข้อเท็จจริงย่อมฟังได้ว่ารถจักรยานของกลางถูกเปลี่ยนสภาพขณะที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1 พฤติการณ์ตามรูปคดี แสดงว่าจำเลยที่ 1 รับรถจักรยานของกลางไว้ในความครอบครองโดยรู้อยู่ว่าเป็นของคนร้ายที่ได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานรับของโจรที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share