แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องคดีในนามของตนเอง หาได้ฟ้องในฐานะผู้แทนของห้างหุ้นส่วนจำกัดเหลืองภิรมย์ไม่ แม้ฟ้องโจทก์จะได้บรรยายว่า โจทก์เป็นเจ้าของโรงงานแป้งมันเหลืองภิรมย์ แต่ก็มิได้บรรยายให้แจ้งชัดว่าโจทก์ได้กระทำการแทนนิติบุคคลดังกล่าว ดังนั้น เมื่อโรงงานแป้งมันเหลืองภิรมย์เป็นของห้างหุ้นส่วนจำกัดเหลืองภิรมย์ ซึ่งเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากโจทก์ โจทก์จึงไม่ใช่เจ้าของโรงงานแป้งมันเหลืองภิรมย์ ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายแทนห้างหุ้นส่วนจำกัดเหลืองภิรมย์ได้
ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ เป็นประเด็นไว้ ศาลย่อมยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของโรงงานแป้งมันเหลืองภิรมย์ จำเลยทั้งสองได้เช่าที่ดินโจทก์บางส่วนสำหรับวางท่อระบายน้ำ และยอมให้โจทก์ใช้เครื่องสูบน้ำเพื่อใช้ในโรงงานได้ ต่อมาจำเลยผิดสัญญา แล้วยังปล่อยให้น้ำทิ้งน้ำเสียไหลลงที่นาของโจทก์ เมื่อครบสัญญาเช่า โจทก์จึงไม่ยอมให้จำเลยเช่าต่อและให้จำเลยขนท่อระบายน้ำและอุปกรณ์ต่าง ๆ ออกไปจากที่ดิน จำเลยเพิกเฉยและไม่ให้โจทก์ใช้เครื่องสืบน้ำ ทำให้โรงงานโจทก์เสียหายเพราะขาดน้ำทำแป้งมันสำปะหลังขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนท่อระบายน้ำและอุปกรณ์ต่าง ๆ ออกไปจากที่ดินโจทก์พร้อมกับชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การว่า ฟ้องเคลือบคลุม ที่ดินที่จำเลยเช่าจากโจทก์เป็นที่สาธารณะโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยไม่เคยผิดสัญญา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ที่พิพาทไม่ใช่ที่สาธารณะแต่เป็นที่ของโจทก์ จำเลยที่ ๒ เช่าที่พิพาทแทนจำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวโรงงานแป้งมันเหลืองภิรมย์เป็นของห้างหุ้นส่วนจำกัดเหลืองภิรมย์ เป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายแทนห้างหุ้นส่วนจำกัดเหลืองภิรมย์ โจทก์คงฟ้องเรียกค่าเสียหายได้เฉพาะกรณีที่จำเลยปล่อยน้ำเสียลงในที่นาของโจทก์ พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ รื้อถอนท่อระบายน้ำและอุปกรณ์ต่าง ๆ ออกไปจากที่ดินโจทก์ ระงับการปล่อยน้ำทิ้งน้ำเสียลงคลองแควพระยาและที่นาของโจทก์ กับให้จำเลยที่ ๑ใช้ค่าเสียหายปีละ ๒๐,๐๐๐ บาท นับแต่ปี ๒๕๒๔ เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ ๑ จะรื้อถอนท่อระบายน้ำทิ้งน้ำเสียลงในที่ดินโจทก์
โจทก์และจำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องรื้อถอนท่อระบายน้ำและอุปกรณ์ต่าง ๆออกไปจากที่ดินที่จำเลยทำสัญญาเช่าไว้กับโจทก์ แต่ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายโจทก์ปีละ ๒๐,๐๐๐ บาท นับแต่ปี ๒๕๒๔ เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะระงับหรือแก้ไขไม่ให้น้ำทิ้งน้ำเสียไหลลงที่นาของโจทก์ ให้ยกฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ นอกจากที่แ้กให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแล้ว จำเลยที่ ๑ ไม่รื้อถอนท่อน้ำทิ้งน้ำเสียออกไป จึงเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อโจทก์ และน้ำทิ้งน้ำเสียจากโรงงานของจำเลยที่ ๑ ทำให้ที่นาของโจทก์เสียหายจำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิด แต่ในส่วนค่าเสียหายของห้างหุ้นส่วนจำกัดเหลืองภิรมย์นั้นคดีนี้โจทก์ฟ้องคดีในนามของตนเองเป็นส่วนตัว หาได้ฟ้องในฐานะผู้แทนของห้างหุ้นส่วนจำกัดเหลืองภิรมย์ไม่ แม้ว่าฟ้องของโจทก์จะได้บรรยายว่า โจทก์เป็นเจ้าของโรงงานแป้งมันเหลืองภิรมย์ แต่โจทก์ไม่ได้บรรยายให้แจ้งชัดว่า โจทก์ได้กระทำการแทนนิติบุคคลดังกล่าวอย่างไร มีความสัมพันธ์กันอย่างไร โจทก์จึงฟ้องในนามของตนเองได้ แม้ว่าจำเลยที่ ๑ จะไม่ได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นไว้ แต่ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลย่อมยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ดังนั้น เมื่อโรงงานแป้งมันเหลืองภิรมย์เป็นของห้างหุ้นส่วนจำกัดเหลืองภิรมย์ซึ่งเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากโจทก์ โจทก์จึงไม่ใช่เจ้าของโรงงานแป้งมันเหลืองภิรมย์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายแทนห้างหุ้นส่วนจำกัดเหลืองภิรมย์ได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ รื้อถอนท่อระบายน้ำและอุปกรณ์ต่าง ๆ ออกไปจากที่ดินที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าไว้กับโจทก์ ห้ามจำเลยที่ ๑ เข้ามาเกี่ยวข้องในที่ดินดังกล่าว ให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ ๒๐,๐๐๐ บาท นับแต่ปี ๒๕๒๔ เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ ๑ จะรื้อถอนท่อระบายน้ำและอุปกรณ์ต่าง ๆ ออกไปจากที่ดินที่จำเลยที่ ๑ทำสัญญาเช่าไว้กับโจทก์ และให้ระงับการปล่อยน้ำเสียลงคลองแควพระยาและที่นาของโจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์