แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46 จะได้บัญญัติไว้ว่าในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาก็ดี แต่บัญญัติของมาตรานี้ก็อยู่ภายใต้บังคับของบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความแพ่งมาตรา 145 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 กล่าวคือจะผูกพันก็แต่คู่ความเดียวกันเท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนายจ้าง จำเลยที่ ๒ เป็นลูกจ้าง จำเลยที่ ๒ ได้ขับรถของจำเลยที่ ๑ ในทางการที่จ้าง ชนรถโจทก์โดยประมาท ขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหาย ๑๕,๓๑๔ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ให้การปฏิเสธ และฟ้องแย้งว่า เหตุเกิดเพราะความประมาทของโจทก์ เป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหาย และเรียกร้องค่าเสียหายจากโจทก์ ๒๘,๘๙๗ บาท
โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ ๒ เพราะส่งหมายเรียกไม่ได้ ศาลอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ๑๕,๓๑๔ บาทให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายให้แก่จำเลย ๒๘,๘๙๗ บาท ให้ยกฟ้องของโจทก์เสีย
โจทก์ฎีกา
เกี่ยวกับเรื่องเดียวกันนี้ อัยการได้ฟ้องโจทก์ (นายเหลียงปั้ง) เป็นจำเลยต่อศาลแขวงพระนครเหนือในข้อหาว่าขับรถยนต์ประมาทชนรถยนต์ของนายเปงกุ่ย (จำเลยที่ ๑ ในคดีนี้) เสียหาย ศาลแขวงพระนครเหนือ พิพากษายกฟ้อง โดยเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักพยานจำเลยฟังหักล้างได้ ตามคดีแดงที่ ๑๓๑๑/๒๔๙๔ ของศาลแขวงพระนครเหนือ คดีนั้นถึงที่สุดเพียงศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาในคดีแพ่งนี้ว่าคำพิพากษาของศาลแขวงพระนครเหนือย่อมผูกพันจำเลย
ศาลฎีกาได้พิจารณาข้อกฎหมายนี้แล้ว เห็นว่า แม้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๔๖ จะได้บัญญัติไว้ว่า ในการพิจารณาคดีส่วแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎ ในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาก็ดี แต่ของมาตรานี้ก็อยู่ใต้บังคับของบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๔๕ และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๕ กล่าวคือ จะผูกพันคู่ความเท่านั้น แต่จำเลยหาได้เป็นคู่ความในคดีของศาลแขวงพระนครเหนือนั้นไม่
ส่วนข้อเท็จจริงศาลฎีกาฟังตามศาลอุทธรณ์
ศาลฎีกาพิพากษายืน