แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์กู้เงินจำเลยไปตกลงกันใช้ข้าวแทนเงิน โจทก์ได้ตวงข้าวใข้หนี้จำเลยไปแล้วภายหลังจำเลยได้นำหนังสือกู้ซึ่งจำเลยยังมิได้คืนให้โจทก์มาฟ้องเรียกจากโจทก์ ๆ ตกลงยอมความใช้หนี้จำเลยตามฟ้องแล้วดังนี้ โจทก์ฟ้องเรียกข้าวหรือราคาข้าวจากจำเลยได้ในฐานลาภมิควรได้
ย่อยาว
เดิมโจทก์กู้เงินจำเลยไป ๔๐๐ บาท โจทก์จำเลยให้ตกลงกันว่าโจทก์จะใช้และจำเลยจะรับข้าวแทนต้นเงินและดอกเบี้ยที่โจทก์เป็นหนี้โจทก์ได้ใช้และจำเลยได้ตวงข้าวไปรวมราคา ๖๘๕ บาท ๒๕ สตางค์ ต่อมาจำเลยได้ฟ้องเรียกต้นเงินและดอกเบี้ยจากโจทก์ตามหนังสือสัญญากู้ซึ่งจำเลยยังมิได้คืนให้โจทก์ โจทก์ทำสัญญายอมความใช้เงินให้จำเลยตามฟ้อง โจทก์จึงมาฟ้องคดีนี้เรียกราคาข้าวที่จำเลยได้ตวงเอาไปฐานลาภมิควรได้
ศาลาอุทธรณ์พิพากษาว่าโจทก์ก็รับว่าจำเลยรับเอาข้าวไปเป็นชำระเงินกู้ตามสัญญา เมื่อเป็นการชำระเงินกู้แล้ว การชำระหนี้นั้นก็มีผลอันจะอ้างกฏหมายได้ เป็นการชำระหนี้อันชอบทำใช่เป็นลาภมิควรได้ไม่การที่ทำสัญญายอมความกันนั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังและไม่ใช่ประเด็นในคติเรื่องนี้ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลฎีกาตัดสินว่าสัญญายอมความที่โจทก์ทำให้จำเลยนั้น เป็นหลักฐานแสดงว่า จำเลนยในคดีนี้ไม่ได้ยอมรับข้าวแทนเงินชำระหนี้ เมื่อเป็นดังนี้จำเลยรับข้าวรายนี้โดยไม่มีค่าตอบแทนเป็นลาภมิควรได้ตามประมวลแพ่ง ฯ ม.๔๐๖ วรรค ๒ เพราะจำเลยได้ข้าวมาเพราะเหตุซึ่งมิได้าเป็นขึ้น โจทก์จึงมีสิทธิเรียกข้าวหรือราคาข้าวคืนฐานลาภมิควรได้ จริงอยู่ในขณะจำเลยได้รับข้าวนั้นมีผลอันจะอ้างกฎหมายได้ แต่เมื่อจำเลยกลับฟ้องเรียกเงินโจทก์ มูลนั้นก็เป็นอันตกไป อนึ่งจำเลยไม่ได้ต่อสู้ว่าตนได้รับข้าวรายนี้แทนเงินตามสัญญา ตามคำให้การของจำเลยดูเหมือนจำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้รับข้าวรายนี้แทนเงินตามมาตรา ๓๒๑ แห่งประมวลแพ่ง ฯ ถ้าหากเป็นจริงดังนั้น กรรมสิทธิในข้าวรายนี้ยังอยู่กับโจทก์และโจทก์มีาสิทธิเรียกคืนได้อีกนัยหนึ่ง พิพากษากลับศาลล่างทั้ง ๒ ให้โจทก์ชนะคดี