แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483ไม่มีบทบัญญัติถึงวันที่ให้ถือว่าเป็นวันที่พิพากษาหรือมีคำสั่งคดีนั้นแต่มาตรา153บัญญัติให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลมกรณีจึงอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา140วรรคท้ายซึ่งบัญญัติว่าเมื่อศาลได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งตามบทบัญญัติในมาตรานี้วันใดให้ถือว่าวันนั้นเป็นวันที่พิพากษาหรือมีคำสั่งคดีนั้นจึงต้องถือว่าวันที่4พฤศจิกายน2531เป็นวันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยชั่วคราวไม่ใช่วันที17ตุลาคม2531ซึ่งร่างคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราวยังอยู่ที่อธิบดีผู้พิพากษาภาค1และไม่สามารถอ่านในวันดังกล่าวได้ตามที่นัดไว้ก่อน
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ล้มละลายศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ (จำเลย) เด็ดขาดเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2533 เจ้าหนี้ ยื่นคำขอรับชำระหนี้มูลหนี้ค่าซื้อสินค้ารวมเป็นเงินและดอกเบี้ยถึงวันขอรับชำระหนี้จำนวน 8,804,319.20 บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้รายละเอียดปรากฏตามบัญชีท้ายคำขอรับชำระหนี้ และเอกสารที่เจ้าหนี้อ้างส่ง
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นัดตรวจคำขอรับชำระหนี้ตามมาตรา 104 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 แล้ว ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้ว เห็นว่า ลูกหนี้ต้องรับผิดในมูลหนี้ค่าสินค้าตามเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัดสาขามิตรภาพ 13 ฉบับ เช็คธนาคารมหานคร จำกัดสาขานครราชสีมา 3 ฉบับ และเช็คธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชยการจำกัด สาขานครราชสีมา 5 ฉบับ รวมต้นเงินและดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ธนาคารตามเช็คแต่ละฉบับปฏิเสธการจ่ายเงินถึงวันที่ 17 ตุลาคม 2531 ซึ่งเป็นวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลุกหนี้ชั่วคราวเป็นเงิน 7,310,059.15 บาท ทั้งนี้ไม่คิดดอกเบี้ยในต้นเงินตามเช็คธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด4 ฉบับ รวมจำนวน 1,600,000 บาท เพราะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินหลังวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราววันที่17 ตุลาคม 2531 เห็นควรให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้จำนวน 7,310,059.15 บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ตามมาตรา130(8) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ส่วนที่ขอเกินมาให้ยก
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
เจ้าหนี้ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้เป็นเงิน 7,724,915.09 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
เจ้าพนักงาน พิทักษ์ทรัพย์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาเพียงว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ชั่วคราววันที่ 17 ตุลาคม 2531 หรือวันที่4 พฤศจิกายน 2531 ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัย ทั้งนี้เนื่องจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์คำนวณดอกเบี้ยในหนี้ที่เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ให้ถึงวันที่ 17 ตุลาคม 2531 ศาลอุทธรณ์ภาค 1คำนวณดอกเบี้ยให้ถึงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2531 มูลเหตุเนื่องจากศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขอให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลย (ลูกหนี้) ชั่วคราวเสร็จวันที่ 5 ตุลาคม 2531 แล้วมีคำสั่งว่า เนื่องจากต้นส่งสำนวนและคำสั่งไปให้อธิบดีผู้พิพากษาภาคตรวจเสียก่อน จึงให้นัดฟังคำสั่งวันที่ 17 ตุลาคม 2531 เวลา 9 นาฬิกา ตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 5 ตุลาคม 2531 เมื่อถึงวันนัดศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าเนื่องจากอธิบดีผู้พิพากษาภาค 3 ยังไม่ได้ส่งสำนวนและร่างคำสั่งมา จึงให้เลื่อนไปนัดฟังคำสั่งวันที่ 3 พฤศจิกายน 2531เวลา 9 นาฬิกา ตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่17 ตุลาคม 2531 ครั้นถึงวันนัดศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เลื่อนไปฟังคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราววันที่ 15 พฤศจิกายน 2531 เวลา8.30 นาฬิกา ตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่3 พฤศจิกายน 2531 แต่แล้วศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยชั่วคราวให้โจทก์จำเลยฟังเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2531 เวลา11.50 นาฬิกา โดยคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยชั่วคราวเขียนในรายงานกระบวนพิจารณาระบุวันที่ 17 ตุลาคม 2531 ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฎีกาว่าต้องถือเอาวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เป็นสำคัญ หาใช่ถือเอาวันที่ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ให้คู่ความฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 140 วรรคท้าย เป็นวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ไม่ เพราะการอ่านคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลายเป็นเพียงการแจ้งคำสั่งให้คู่ความฟังและทราบเท่านั้น ดังนั้นการที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์คำนวณดอกเบี้ยให้เจ้าหนี้นับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินจนถึงวันที่ 17 ตุลาคม 2531 จึงถูกต้องแล้วนั้นเห็นว่า พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ไม่มีบทบัญญัติถึงวันที่ให้ถือว่าเป็นวันที่พิพากษาหรือมีคำสั่งคดีนั้น แต่มาตรา153 บัญญัติว่า “ฯลฯ ส่วนใดที่พระราชบัญญัตินี้มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม” ในกรณีนี้จึงอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 140 วรรคท้าย ซึ่งบัญญัติว่า “เมื่อศาลที่พิพากษาคดี หรือที่ได้รับคำสั่งจากศาลสูงให้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งตามบทบัญญัติในมาตรานี้วันใด ให้ถือว่าวันนั้นเป็นวันที่พิพากษาหรือมีคำสั่งคดีนั้น” ดังนี้ จึงต้องถือว่า วันที่ 4 พฤศจิกายน 2531 เป็นวันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยชั่วคราว ไม่ใช่วันที่17 ตุลาคม 2531 ซึ่งร่างคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราวยังอยู่ที่อธิบดีผู้พิพากษาภาค 1 และไม่สามารถอ่านในวันดังกล่าวได้ตามที่นัดไว้ก่อน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน