แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คำสั่งกรมตำรวจเรื่องมอบอำนาจให้หัวหน้าตำรวจภูธรจังหวัดและหัวหน้าส่วนราชการอื่น ๆ ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมตำรวจไม่ใช่หนังสือมอบอำนาจให้มีอำนาจแต่งตั้งทนายความดำเนินคดีนี้แทนโจทก์ได้ เมื่อโจทก์มิได้นำสืบว่าตำแหน่งรองผู้บังคับการหัวหน้าตำรวจภูธรจังหวัดเป็น ตำแหน่งเดียวกันกับตำแหน่งหัวหน้าตำรวจภูธรจังหวัดตามคำสั่งของกรมตำรวจ ข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ศาลรู้เองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 84 จึงฟังไม่ได้ว่า พันตำรวจเอก ว. ดำรงตำแหน่งหัวหน้าตำรวจภูธรจังหวัดหรือตำแหน่งเทียบเท่าตามคำสั่ง โจทก์จึงไม่อาจอ้างคำสั่งมาฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ได้ ส่วนหนังสือที่ผู้ช่วยโจทก์ ซึ่งปฏิบัติราชการแทนโจทก์ร่างเสนอปลัดกระทรวงมหาดไทยลงลายมือชื่อแจ้งผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด มีข้อความตอนท้ายว่า “ดังนั้น ตามหนังสือที่อ้างถึง (2) เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดได้ส่งสำนวนการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดชอบทางแพ่งไปให้กรมตำรวจ พิจารณาแล้ว อธิบดีกรมตำรวจจะได้มอบอำนาจให้ผู้รับผิดชอบ ตามคำสั่งกรมตำรวจที่ 990/2535 เพื่อดำเนินคดีต่อไป”คำสั่งกรมตำรวจที่ 990/2535 ก็คือคำสั่งกรมตำรวจเรื่อง มอบอำนาจให้หัวหน้าตำรวจภูธรจังหวัดและหัวหน้าส่วนราชการอื่น ๆ ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมตำรวจตามข้อความในหนังสือ ข้างต้น โจทก์เองมิได้ถือว่าคำสั่งของโจทก์ที่ 990/2535 เป็นหนังสือมอบอำนาจ เพราะโจทก์จะต้องมอบอำนาจ ให้ผู้รับผิดชอบตามคำสั่งที่ 990/2535 อีกชั้นหนึ่ง พยานหลักฐานของโจทก์จึงไม่พอฟังว่าพันตำรวจเอก ว. ได้รับมอบอำนาจจากโจทก์ให้ฟ้องคดีนี้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง แม้จำเลยที่ 2 ไม่ได้ฎีกาในประเด็นนี้ แต่เป็นมูลหนี้ อันไม่อาจแบ่งแยกชำระหนี้กันได้ จึงมีผลถึงจำเลยที่ 2 ด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 136,757.53 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินจำนวน 109,370.10 บาทนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น
จำเลยที่ 1 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 64,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 60,000 บาท นับแต่วันที่ 21 เมษายน 2523เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ประเด็นแรกว่า โจทก์ได้มอบอำนาจให้พันตำรวจเอกวิทยา ขจรเกียรติไกร ฟ้องคดีโดยชอบหรือไม่โจทก์มีร้อยตำรวจเอกปรีชา ไชยวุฒิ ซึ่งประจำสำนักงานกองคดีกรมตำรวจและเป็นผู้ทำความเห็นเกี่ยวกับข้อเท็จจริงหาผู้กระทำผิดทางแพ่งในคดีนี้เบิกความเป็นพยานว่า การฟ้องคดีนี้ใช้คำสั่งกรมตำรวจเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 และมอบอำนาจให้รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชัยภูมิ เป็นผู้ดำเนินการแทนตามเอกสารหมาย จ.1 เห็นว่า เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1เป็นสำเนาคำสั่งกรมตำรวจเรื่องมอบอำนาจให้หัวหน้าตำรวจภูธรจังหวัดและหัวหน้าส่วนราชการอื่น ๆ ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมตำรวจจึงไม่ใช่หนังสือมอบอำนาจให้รองผู้บังคับการหัวหน้าตำรวจภูธรจังหวัดชัยภูมิมีอำนาจแต่งตั้งทนายความดำเนินคดีนี้แทนโจทก์ได้ตามที่กล่าวในฟ้อง โจทก์มิได้นำสืบว่าตำแหน่งรองผู้บังคับการหัวหน้าตำรวจภูธรจังหวัดชัยภูมิเป็นตำแหน่งเดียวกันกับตำแหน่งหัวหน้าตำรวจภูธรจังหวัดชัยภูมิตามคำสั่งของโจทก์เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 ข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ศาลรู้เองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าพันตำรวจเอกวิทยาดำรงตำแหน่งหัวหน้าตำรวจภูธรจังหวัดหรือตำแหน่งเทียบเท่าตามคำสั่งเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 จึงไม่อาจอ้างคำสั่งของโจทก์เอกสารหมายเลข 1 ท้ายฟ้อง มาฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ได้ ส่วนหนังสือเอกสารหมาย จ.1 เป็นหนังสือที่ผู้ช่วยโจทก์ซึ่งปฏิบัติราชการแทนโจทก์ร่างเสนอปลัดกระทรวงมหาดไทยลงลายมือชื่อแจ้งผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด หนังสือดังกล่าวจึงไม่ใช่หนังสือมอบอำนาจให้รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชัยภูมิเป็นผู้ดำเนินการแทนตามที่ร้อยตำรวจเอกปรีชาพยานโจทก์เบิกความ นอกจากนั้นหนังสือดังกล่าวมีข้อความตอนท้ายว่า “ดังนั้นตามหนังสือที่อ้างถึง (2) เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดได้ส่งสำนวนการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดชอบทางแพ่งไปให้กรมตำรวจพิจารณาแล้วอธิบดีกรมตำรวจจะได้มอบอำนาจให้ผู้รับผิดชอบตามคำสั่งกรมตำรวจที่ 990/2535 ลงวันที่ 18 กันยายน 2535 เพื่อดำเนินคดีต่อไป” คำสั่งกรมตำรวจที่ 990/2535 ลงวันที่ 18 กันยายน 2534 ก็คือเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 ตามข้อความในหนังสือเอกสารหมาย จ.1 ข้างต้น แสดงให้เห็นว่า โจทก์เองมิได้ถือว่าคำสั่งของโจทก์ที่ 990/2535 เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 เป็นหนังสือมอบอำนาจตามที่กล่าวในฟ้อง เพราะโจทก์จะต้องมอบอำนาจให้ผู้รับผิดชอบตามคำสั่งที่ 990/2535อีกชั้นหนึ่ง พยานหลักฐานของโจทก์ไม่พอฟังว่า พันตำรวจเอกวิทยาได้รับมอบอำนาจจากโจทก์ให้ฟ้องคดีนี้โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องแม้จำเลยที่ 2 ไม่ได้ฎีกาในประเด็นนี้แต่เป็นมูลหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกชำระหนี้กันได้ จึงมีผลถึงจำเลยที่ 2 ด้วยที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น คดีไม่มีความจำเป็นต้องวินิจฉัยในประเด็นอื่นอีกต่อไป”
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง