คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3587/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ที่ดินที่พลเมืองใช้ร่วมกัน เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(2) แม้โจทก์จะเสียภาษีบำรุงท้องที่ก็ไม่ได้สิทธิครอบครอง โจทก์บรรยายฟ้องยืนยันว่า ที่พิพาทไม่ใช่ที่สาธารณะไม่ได้กล่าวล่วงเลยไปถึงว่าหากที่ดินดังกล่าวเป็นที่สาธารณะ แต่โจทก์ก็ครอบครองอยู่จึงมีสิทธิใช้สอยดีกว่าจำเลย ศาลชั้นต้นก็กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือที่สาธารณะเท่านั้น โจทก์เพิ่งหยิบยกปัญหาข้อนี้ขึ้นอ้างในชั้นฎีกา จึงเป็นเรื่องนอกคำฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาไม่อาจยกขึ้นวินิจฉัยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินมีหนังสือแจ้งการครอบครอง จำเลยทั้งห้าร่วมกันนำดินไปถมที่ดินดังกล่าวบางส่วนรวม 2 แห่ง โดยอ้างว่าเป็นที่สาธารณะ และใช้ที่ดินส่วนที่บุกรุกตลอดมา ขอให้พิพากษาห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องในที่พิพาท ให้ร่วมกันขนย้ายดินที่นำมาถมที่พิพาทออกไปจนกลับสภาพเดิม จำเลยทั้งห้าให้การว่าโจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่พิพาทที่พิพาทหมายเลข 1 เป็นที่สาธารณประโยชน์ ส่วนที่พิพาทหมายเลข 2เป็นที่ดินจำเลย ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและขาดอายุความ ก่อนวันสืบพยาน โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขฟ้องโดยสละข้อหาในฟ้องเฉพาะที่ดินพิพาทหมายเลข 2 ตามแผนที่พิพาทท้ายฟ้อง ศาลชั้นต้นอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาห้ามจำเลยทั้งห้าและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทตามแผนที่ท้ายฟ้อง เว้นแต่บริเวณทางเดินพิพาทหมายเลข 1 ตามแผนที่พิพาทท้ายฟ้อง และให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันขนย้ายดินที่นำมาถมที่พิพาทบริเวณหมายเลข 2 ในแผนที่พิพาทท้ายฟ้องออกไปจนกว่าที่ดินพิพาทจะกลับคืนสภาพเดิม โจทก์และจำเลยทั้งห้าอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาในชั้นฎีกาเพียงข้อเดียวว่าที่ดินตามแผนที่ท้ายฟ้องหมายเลข 1 หรือที่ดินในแผนที่พิพาทตรงหมายเลข 5-12 นั้น เป็นที่สาธารณะหรือที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครอง ปัญหานี้โจทก์มีพยานเอกสารคือ ส.ค.1 เอกสารหมาย จ.1ซึ่งโจทก์ยื่นไว้ต่อทางราชการเมื่อ พ.ศ. 2498 ใบนำสำรวจพื้นที่ดินเพื่อเสียภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. 2501 ถึง พ.ศ. 2504 ตามเอกสารหมาย จ.3 แบบสำรวจที่ดินเพื่อเสียภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. 2509ถึง พ.ศ. 2512 ตามเอกสารหมาย จ.4 และใบเสร็จรับเงินภาษีบำรุงท้องที่ เอกสารหมาย จ.5, จ.6, จ.7, จ.8 มาแสดงว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท แต่ ส.ค.1 นั้น นายปลูก ร่มเกตุแก้วพยานจำเลยซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านในขณะนั้นเบิกความว่านายสด โรจน์สุธี กำนันท้องที่ และพยานไปคัดค้านที่อำเภอว่าที่ดินตาม ส.ค.1 เป็นที่สาธารณประโยชน์สำหรับให้ประชาชนทั่วไปใช้สอยปรากฏการคัดค้านอยู่ในสมุดทะเบียนการครอบครองที่ดินอำเภอบางเลนเล่ม 4 หมายเหตุด้วยอักษรสีแดงว่า ทับที่สาธารณประโยชน์นอกจากนายปลูกแล้วจำเลยยังมีนายจำนง ร่มเกตุแก้ว ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 11 นายวิฑูรย์ โรจน์สุธี เบิกความว่า ที่พิพาทเป็นที่สาธารณะ เป็นที่ลุ่มที่ชาวบ้านนำวัวควายไปเลี้ยงและผ่านไปผ่านมาจึงรับฟังได้ว่า ที่พิพาทตามที่กล่าวมาในตอนต้นแล้วเป็นที่ดินที่พลเมืองใช้ร่วมกัน จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 (2) การที่โจทก์เสียภาษีบำรุงท้องที่ก็ไม่ทำให้โจทก์มีสิทธิครอบครองได้แต่ประการใดส่วนที่โจทก์อ้างในฎีกาว่า แม้โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองแต่โจทก์ได้ครอบครองมาย่อมมีสิทธิใช้สอยดีกว่าจำเลยนั้น คำบรรยายฟ้องของโจทก์ในข้อ 1 มีว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินตามที่ได้แจ้งการครอบครองไว้ ฯลฯ และในข้อ 2 ก็บรรยายว่า ฯลฯทั้งนี้ โดยจำเลยอ้างว่า ที่ดินส่วนที่จำเลยขนดินเข้าไปถมเป็นที่ดินสาธารณะ แต่แท้ที่จริงส่วนนี้ไม่ใช่ที่สาธารณะ แต่เป็นที่ดินส่วนหนึ่งในที่ดินของโจทก์ซึ่งโจทก์ได้ครอบครองเป็นเจ้าของตลอดมา เห็นว่า คำบรรยายฟ้องของโจทก์ยืนยันว่า ที่พิพาทไม่ใช่ที่สาธารณะ ไม่ได้กล่าวล่วงเลยไปถึงว่า หากที่ดินดังกล่าวไม่ใช่ที่สาธารณะก็ตาม แต่โจทก์ครอบครองอยู่จึงมีสิทธิใช้สอยดีกว่าจำเลย ทั้งศาลชั้นต้นก็กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือที่สาธารณะเท่านั้น โจทก์เพิ่งหยิบยกปัญหาข้อนี้มาอ้างในชั้นฎีกา จึงเป็นเรื่องนอกคำฟ้องของโจทก์ศาลฎีกาไม่อาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share