คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3579/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ในขณะที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อและจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันกับโจทก์นั้น โจทก์จะเป็นเจ้าของรถยนต์พิพาทหรือไม่ เป็นเพียงข้อเท็จจริง มิได้มีผลกระทบถึงความสมบูรณ์ของสัญญาเช่าซื้อ ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยทั้งสองจึงไม่อาจยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การในปัญหาดังกล่าวเมื่อพ้นกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180 ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองรับผิดต่อโจทก์ฐานผิดสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกัน จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การต่อสู้คดี ระหว่างการพิจารณาสืบพยานโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายนำสืบพยานก่อน จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การโจทก์คัดค้าน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การหลังวันสืบพยานโจทก์เกินกว่า 7 วัน และไม่เข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180 จึงไม่อนุญาตให้แก้ไขคำให้การ ให้ยกคำร้อง

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยทั้งสองฎีกาว่า คำร้องขอแก้ไขคำให้การของจำเลยทั้งสองมีข้อความตอนหนึ่งว่า ในขณะทำสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกัน โจทก์มิได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์พิพาท โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เป็นการขอแก้ไขในประเด็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยทั้งสองย่อมมีสิทธิขอแก้ไขคำให้การได้ เห็นว่า ในขณะทำสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันโจทก์จะเป็นเจ้าของรถยนต์พิพาทหรือไม่ เป็นเพียงข้อเท็จจริง มิได้มีผลกระทบถึงความสมบูรณ์ของสัญญาเช่าซื้อ ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามที่จำเลยทั้งสองกล่าวอ้าง คดีนี้จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การเมื่อพ้นกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180 ที่ศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสองแก้ไขคำให้การจึงชอบแล้ว ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share