คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3573/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย จำเลยโต้แย้งว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์ตามกฎหมายแล้ว และฟ้องแย้งขอให้โจทก์ไปดำเนินการแบ่งแยกโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้จำเลย จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์เมื่อที่ดินพิพาทมีราคาเพียง 150,000 บาท และศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยในทำนองเดียวกันว่าจำเลยอยู่ในที่ดินดังกล่าวโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ การที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์ ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวอีก ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 2,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ได้ตกลงขายที่ดินดังกล่าวบางส่วน เนื้อที่ประมาณ 150 ตารางวา ให้แก่สามีจำเลย สามีจำเลยได้ครอบครองที่ดินดังกล่าวโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาเกินกว่า 10 ปีแล้ว สามีจำเลยและจำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง ให้โจทก์ไปดำเนินการแบ่งแยกโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่จำเลย หากโจทก์ไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแสดงเจตนาของโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า สามีจำเลย และจำเลยอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาทตามฟ้อง ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินดังกล่าวกับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 2,000 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะออกไปจากที่ดินพิพาทยกฟ้องแย้งจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 27 ตุลาคม 2534บัญญัติห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย จำเลยต่อสู้โต้แย้งเรื่องกรรมสิทธิ์ว่าจำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์ตามกฎหมายแล้ว และฟ้องแย้งขอให้โจทก์ไปดำเนินการแบ่งแยกโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้จำเลย จึงเป็นคดีมีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เมื่อที่ดินพิพาทมีราคาเพียง 150,000 บาท และศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยในทำนองเดียวกันว่าจำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ การที่จำเลยยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2534ว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทมาโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยมานั้นไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาของจำเลย

Share