คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3570/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การอ้างว่าจำเลยหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สินที่ถูกยึดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 288 จะต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งมาตรา 55 ด้วย ในชั้นนี้เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ได้นำยึดสิทธิการเช่าของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาเท่านั้น มิได้กระทบกระเทือนถึงสิทธิการเช่าของผู้ร้องตามสัญญาเช่าที่ทำกับจำเลยที่ 1 ผู้ให้เช่าช่วง ดังนี้ยังไม่มีการโต้แย้งสิทธิของผู้ร้อง ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขัดทรัพย์.

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องจากโจทก์บังคับคดีตามคำพิพากษาโดยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดสิทธิการเช่าอาคารของจำเลยที่ 1
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2528 ผู้ร้องได้ทำสัญญาเช่าอาคารที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดสิทธิการเช่าไว้นั้นจากจำเลยที่ 1 มีกำหนด 10 ปี ในราคา 120,000 บาท โดยชำระราคาให้แก่จำเลยที่ 1 แล้ว ผู้ร้องจึงเป็นผู้มีสิทธิการเช่าขอให้ปล่อยสิทธิการเช่าในทรัพย์ที่ยึด
โจทก์ให้การว่า ผู้ร้องไม่มีสิทธิการเช่าในอาคารนั้น
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ได้นำยึดสิทธิการเช่าอาคารเลขที่ 1717/23 ของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษากรณีจะขอให้ปล่อยทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 จะต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งมาตรา 55 โดยอ้างว่าจำเลยหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สินที่ถูกยึดไว้ดังกล่าว แม้ผู้ร้องจะมีสิทธิการเช่าตามสัญญาเช่าที่ทำกับจำเลยที่ 1 ผู้ให้เช่าช่วงก็ตามแต่ในชั้นนี้เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ได้นำยึดสิทธิการเช่าของจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาเท่านั้น หาได้กระทบกระเทือนถึงสิทธิการเช่าของผู้ร้องแต่ประการใดไม่ จึงยังไม่ได้มีการโต้แย้งสิทธิของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55ผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขัดทรัพย์…”
พิพากษายืน.

Share