คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3569/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยชำระหนี้ให้ผู้คัดค้าน หลังจากโจทก์ฟ้องขอให้ล้มละลายเป็นการที่ผู้คัดค้านได้รับชำระหนี้ในขณะที่เจ้าหนี้อื่นยังมิได้รับชำระหนี้ ประกอบกับได้ความว่าจำเลยมีทรัพย์สินไม่พอกับหนี้สินการกระทำของจำเลยในพฤติการณ์ดังกล่าวจึงเป็นการมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้เปรียบเจ้าหนี้อื่น ผู้ร้องขอให้เพิกถอนการชำระหนี้รายนี้ได้ โดยไม่ต้องพิจารณาว่าผู้คัดค้านได้รับชำระหนี้โดยสุจริต และมีค่าตอบแทนหรือไม่ การเพิกถอนการชำระหนี้เป็นไปโดยผลของคำพิพากษาหรือคำสั่งตราบใดที่ยังไม่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอนการชำระหนี้ก็ยังถือว่าเป็นการชำระหนี้โดยชอบอยู่ กรณียังถือไม่ได้ว่ามีการผิดนัดนับแต่วันที่ได้รับชำระหนี้ ผู้ร้องคงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการชำระหนี้.

ย่อยาว

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องว่า จำเลยชำระหนี้กู้ยืมให้แก่กรมส่งเสริมสหกรณ์ 2 ครั้ง คือเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2531เป็นเงิน 20,000 บาท และวันที่ 27 เมษายน 2531 เป็นเงิน 51,418 บาทซึ่งเป็นระยะเวลาภายหลังที่มีการขอให้ล้มละลาย โดยมุ่งหมายให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้เปรียบแก่เจ้าหนี้ที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้ในคดีล้มละลาย ขอให้เพิกถอนการชำระหนี้กู้ยืมดังกล่าวระหว่างจำเลยกกับกรมส่งเสริมสหกรณ์ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115
กรมส่งเสริมสหกรณ์ ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้ล้มละลายมิได้เป็นการมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น เพราะยังมีทรัพย์สินและสิทธิเรียกร้องของจำเลยเป็นเงินจำนวนมากเพียงพอที่จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ได้ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนการชำระหนี้กู้ยืมของจำเลยให้แก่กรมส่งเสริมสหกรณ์ทั้งสองครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์2531 จำนวนเงิน 20,000 บาท ครั้งที่สองเมื่อวันที่ 27 เมษายน2531 จำนวนเงิน 51,418 บาท และให้กลับคืนสู่ฐานะเดิม พร้อมชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันที่ได้รับชำระหนี้จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น
ผู้คัดค้านอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ได้ความจากคำเบิกความของนายชาตรี สุทธิวานิช ผู้ร้อง ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่า ผู้ร้องไม่สามารถจะรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายเดียวของจำเลยที่ยื่นขอรับชำระหนี้ได้ครบถ้วน ทรัพย์สินของจำเลยที่ยังไม่ได้ขายทอดตลาดมีเครื่องวัดความชื้นและเครื่องชั่งน้ำหนัก ประเมินราคาได้เพียง4,000 บาท เท่านั้น ส่วนอาคารสำนักงานได้ขายทอดตลาดไปหมดแล้วแต่ไม่คุ้มหนี้ของโจทก์ทั้งสิทธิเรียกร้องของจำเลยที่มีต่อสมาชิกซึ่งเป็นลูกหนี้ของจำเลยก็ได้รับชำระหนี้ไม่ครบถ้วน เห็นว่า ผู้ร้องเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ของรัฐได้กระทำการตามหน้าที่ตามบทบัญญัติกฎหมายที่ให้อำนาจไว้ คำเบิกความของผู้ร้องจึงมีน้ำหนักในการรับฟัง นอกจากนี้นายเลื่อน ผ่องใส พยานของผู้ร้องซึ่งเป็นประธานของจำเลยก็เบิกความยืนยันว่า ผู้ร้องได้ทวงถามบรรดาลูกหนี้ของจำเลยให้ชำระหนี้ แต่ได้รับชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ทรัพย์สินของจำเลยที่ขายทอดตลาดแล้วนั้นไม่คุ้มหนี้โจทก์คงเหลือทรัพย์สินที่ยังไม่ได้ขายทอดตลาดอีก 2 รายการ คือ เครื่องวัดความชื้นและตาชั่งคำเบิกความของนายเลื่อนดังกล่าวสอดคล้องกับคำเบิกความของผู้ร้องเป็นการสนับสนุนคำขอผู้ร้องให้มีน้ำหนักยิ่งขึ้น ที่ผู้คัดค้านอ้างว่า ขณะที่โจทก์ฟ้องจำเลยให้เป็นบุคคลล้มละลาย จำเลยมีทรัพย์สินรวมราคาประมาณ 800,000 บาท เป็นอาคารสำนักงาน เครื่องวัดความชื้น และเครื่องชั่งน้ำหนักเงินสดฝากธนาคารจำนวน 20,000 บาทกับยังมีลูกหนี้ที่ยังค้างชำระหนี้เป็นเงินประมาณ 800,000 บาท นั้นผู้คัดค้านเพียงกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีพยานหลักฐานใดมาสนับสนุนข้ออ้างของตนให้มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ พยานหลักฐานของผู้ร้องจึงมีน้ำหนักดีกว่า ดังนี้ เมื่อปรากฏว่าจำเลยได้ชำระหนี้กู้ยืมให้แก่ผู้คัดค้าน2 ครั้ง ตามเอกสารหมาย ร.2 ถึง ร.5 หลังจากโจทก์ฟ้องขอให้ล้มละลายเป็นการที่ผู้คัดค้านได้รับชำระหนี้ในขณะที่เจ้าหนี้รายอื่นยังมิได้รับชำระหนี้ ประกอบกับได้ความว่าจำเลยมีทรัพย์สินไม่พอกับหนี้สิน การชำระหนี้ของจำเลยในพฤติการณ์ดังกล่าวจึงเป็นการมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้เปรียบเจ้าหนี้อื่นเป็นการฝ่าฝืนเจตนารมณ์แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายฯ ซึ่งประสงค์ให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้โดยเสมอภาคกัน ผู้ร้องขอให้เพิกถอนการชำระหนี้รายนี้ได้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115โดยไม่ต้องพิจารณาว่าผู้คัดค้านได้รับชำระหนี้โดยสุจริตและมีค่าตอบแทนหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่ศาลล่างทั้งสองให้ผู้คัดค้านคืนเงินพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่ได้รับชำระหนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จนั้น เห็นว่าการเพิกถอนการชำระหนี้เป็นไปโดยผลของคำพิพากษาหรือคำสั่งตราบใดที่ยังไม่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอนการชำระหนี้ก็ยังถือว่าเป็นการชำระหนี้โดยชอบอยู่ กรณียังถือไม่ได้ว่ามีการผิดนัดนับแต่วันที่ได้รับชำระหนี้อันจะเป็นเหตุให้ผู้คัดค้านต้องรับผิดในเรื่องดอกเบี้ยตามขอ ผู้ร้องคงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการชำระหนี้ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ประกอบด้วยพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 นอกจากนี้คดีขอเพิกถอนการชำระหนี้ถือเป็นคดีที่ขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ จึงไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาอย่างคดีมีทุนทรัพย์ดังเช่นที่ผู้คัดค้านเสียมา ศาลฎีกาเห็นสมควรให้คืนส่วนที่เกินเสีย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ในส่วนดอกเบี้ยให้ผู้คัดค้านชำระนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการชำระหนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาในส่วนที่เกินกว่าค่าขึ้นศาลอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์.

Share