แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของรวมคนหนึ่งได้ฟ้องขับไล่โจทก์ให้รื้อถอนบ้านพิพาทและขนย้ายออกไปจากที่ดินส่วนที่โจทก์ขายฝากให้แก่จำเลย การกระทำของจำเลยเช่นนี้เป็นการใช้สิทธิทางศาลและได้กระทำโดยสุจริตซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้จำเลยเป็นฝ่ายชนะและคดีถึงที่สุดแล้ว จึงไม่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 72767 ตำบลบางซื่อ อำเภอดุสิต กรุงเทพมหานคร โจทก์ที่ 2เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านเลขที่ 559 ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินดังกล่าว เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2529 จำเลยได้ฟ้องขับไล่โจทก์ที่ 1 ให้รื้อถอนบ้านเลขที่ 559 ออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 72767 ตามคดีหมายเลขแดงที่ 24992/2529 ของศาลชั้นต้นเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์เพราะบ้านดังกล่าวเป็นของโจทก์ที่ 2โจทก์ที่ 2 ได้ปลูกและครอบครองมาหลายปีแล้ว โดยปลูกอยู่ในที่ดินของพี่สาวโจทก์ที่ 2 คือนางสุวรรณี กาญจนจูฑะ ซึ่งเป็นผู้ถือสิทธิในที่ดินส่วนนี้อยู่ บัดนี้โจทก์ที่ 1 ได้ฟ้องเรียกที่ดินดังกล่าวคืนจากนางสุวรรณีต่อศาลชั้นต้นตามคดีหมายเลขดำที่ 10670/2530 โจทก์ที่ 1 เป็นเพียงผู้อยู่อาศัยในบ้านเลขที่ 559 จำเลยจึงไม่มีสิทธิฟ้องโจทก์ที่ 1 ให้รื้อถอนบ้านเลขที่ 559 ได้ การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ทั้งสอง ขอให้ศาลมีคำสั่งระงับการรื้อถอนบ้านเลขที่ 559และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 18,000 บาท แก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยให้การว่า คดีหมายเลขแดงที่ 24992/2529 ของศาลชั้นต้นนั้น จำเลยกับนางนิตยา บัวศรี ได้ร่วมกันฟ้องโจทก์ที่ 1ศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้โจทก์ที่ 1 และบริวารรื้อถอนบ้านเลขที่ 559 พร้อมสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายออกไปจากที่ดินส่วนของจำเลยในที่ดินโฉนดเลขที่ 72767 และให้โจทก์ที่ 1 ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยเป็นเงินเดือนละ 1,500 บาท นับแต่วันที่ 13 มีนาคม2529 ไปจนกว่าโจทก์ที่ 1 และบริวารจะรื้อถอนบ้านพร้อมสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายออกไปจากที่ดินดังกล่าวเสร็จ คดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว โจทก์ที่ 2 มิได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านเลขที่ 559 แต่บ้านเลขที่ดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 1และปลูกอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 72767 ในส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยและนางนิตยา ซึ่งจำเลยและนางนิตยาได้กรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวจากโจทก์ที่ 1 โดยการขายฝากตั้งแต่ปี 2519 มิใช่ปลูกอยู่ในที่ดินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของนางสุวรรณี กาญจนจูฑะโจทก์ที่ 2 เป็นเพียงบริวารหรือผู้อาศัยบ้านเลขที่ 559 เท่านั้นเพราะโจทก์ที่ 2 เป็นบุตรของโจทก์ที่ 1 การกระทำของจำเลยจึงเป็นการใช้สิทธิทางศาลโดยสุจริตไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองโจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของโจทก์ที่ 1ว่าการที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของรวมคนหนึ่งได้ฟ้องขับไล่โจทก์ที่ 1 ในคดีก่อนเป็นการละเมิดต่อโจทก์ที่ 1 หรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของรวมคนหนึ่งได้ฟ้องขับไล่โจทก์ที่ 1 ให้รื้อถอนบ้านพิพาทและขนย้ายออกไปจากที่ดินส่วนที่โจทก์ที่ 1 ขายฝากให้แก่จำเลย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยเป็นฝ่ายชนะและคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์ที่ 1จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้กล่าวหาว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์และเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 18,000 บาท นั้น เห็นว่า การที่จำเลยฟ้องขับไล่โจทก์ที่ 1 อันเป็นการใช้สิทธิทางศาลและได้กระทำโดยสุจริตซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้จำเลยเป็นฝ่ายชนะคดีถึงที่สุดแล้ว การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 1 ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นละเมิดนั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ที่ 1 ฟังไม่ขึ้น ส่วนฎีกาข้ออื่นของโจทก์ที่ 1 เป็นเรื่องโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาในคดีก่อนซึ่งถึงที่สุดไปแล้วไม่เกี่ยวกับคดีนี้ฎีกาของโจทก์ที่ 1 จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน