แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์กล่าวในฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้สลักหลังเช็คที่จำเลยที่ 1 นำมาทำสัญญาขายลดรับเงินสดจากโจทก์จำเลยทั้งสองไม่ได้ให้การปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ในข้อนี้จึงต้องฟังข้อเท็จจริงว่าเช็คดังกล่าวจำเลยที่ 2 ได้ลงลายมือชื่อสลักหลังไว้ดังโจทก์ฟ้อง
จำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดีเพียงว่ามีเหตุไม่ต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยแก่โจทก์ หาได้ต่อสู้ในข้อไม่ต้องรับผิดในต้นเงินด้วยไม่ ฉะนั้นปัญหาว่าจำเลยจะต้องรับผิดในต้นเงินหรือไม่ จึงไม่ใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้
จำเลยที่ 1 นำเช็คซึ่งมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้สลักหลังมาทำสัญญาขายลดรับเงินสดจากโจทก์ โดยสัญญาว่าหากเช็คดังกล่าวถึงกำหนดชำระเงิน โจทก์ไม่ได้รับชำระเงินตามเช็ค จำเลยที่ 1 ยอมชำระเงินตามเช็คพร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีแก่โจทก์เมื่อได้ความว่าโจทก์ไม่ได้รับชำระหนี้ตามเช็ค จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ส่วนจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคหนึ่ง
เช็คคือหนังสือตราสารซึ่งผู้สั่งจ่ายสั่งธนาคารให้ใช้เงินจำนวนหนึ่งเมื่อทวงถามให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งหรือให้ใช้ ตามคำสั่งของบุคคลอีกคนหนึ่งอันเรียกว่าผู้รับเงิน จึงเป็นทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 99 ซึ่งอาจโอนกรรมสิทธิ์กันได้ตามมาตรา 904,917 และ 989โจทก์จึงทำสัญญาซื้อขายลดเช็คอันเป็นสัญญาต่างตอบแทนประเภทหนึ่งซึ่งมีมูลหนี้อยู่ และนำสัญญาดังกล่าวมาฟ้องบังคับได้ และปัญหาว่าโจทก์จะใช้สิทธิฟ้องบังคับตามสัญญาขายลดเช็คได้หรือไม่ เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ข้อที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ภาพถ่ายเช็คท้ายฟ้องจะมีต้นฉบับอยู่หรือไม่ โจทก์ได้รับเงินตามเช็คจากผู้สั่งจ่ายแล้วหรือไม่จำเลยไม่ทราบ และตามภาพถ่ายเช็คท้ายฟ้องไม่ปรากฏว่าจำเลยลงลายมือชื่อสลักหลังไว้ โจทก์ไม่มีพยานมาสืบ ทั้งโจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์โจทก์ยังไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินตามฟ้องนั้นไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยอำนาจฟ้องของโจทก์ เพราะไม่มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิเป็นคู่ความได้หรือไม่เมื่อจำเลยไม่ได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในศาลชั้นต้นจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 นำเช็คพิพาทซึ่งมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้สลักหลังมาทำสัญญาขายลดรับเงินสดจากโจทก์โดยสัญญาว่าหากเช็คถึงกำหนดชำระเงิน โจทก์ไม่ได้รับชำระเงินตามเช็ค จำเลยที่ 1 ยอมชำระเงินตามจำนวนในเช็คพร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีแก่โจทก์ ต่อมาเมื่อเช็คถึงกำหนดโจทก์เรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้เพราะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินจำนวนตามเช็คแก่โจทก์และให้จำเลยที่ 1 ใช้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีส่วนจำเลยที่ 2 ให้ใช้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองไม่อาจชำระหนี้ตามเช็คพิพาทให้โจทก์ได้ เพราะความผิดของโจทก์ที่หน่วงเหนี่ยวไม่ให้จำเลยไถ่ถอนจำนองเพื่อปลดเปลื้องหนี้สินของจำเลย ทำให้ดอกเบี้ยหนี้เบิกเกินบัญชีเพิ่มพูนขึ้นจำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดในดอกเบี้ยที่โจทก์เรียกร้องมา และจำเลยไม่เคยได้รับหนังสือทวงถามของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีไม่มีประเด็นข้อพิพาท จึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินตามจำนวนในเช็คพิพาทแก่โจทก์ให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ส่วนจำเลยที่ 2ให้ร่วมรับผิดชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้สลักหลังเช็คนั้น ปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้สลักหลังเช็คทั้งยังปรากฏตามเอกสารหมาย จ.4 ท้ายฟ้องว่าเช็คฉบับนี้มีลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 ด้านหลังตั๋วอันเป็นการสลักหลังลอยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 919, 989 จำเลยทั้งสองไม่ได้ให้การปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ในข้อนี้ จึงต้องฟังข้อเท็จจริงว่าเช็คดังกล่าวจำเลยที่ 2ได้ลงลายมือชื่อของตนสลักหลังไว้ดังคำฟ้องของโจทก์
จำเลยทั้งสองฎีกาข้อที่สองว่า จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธอ้างเหตุที่ไม่ต้องชำระเงินตามฟ้องแก่โจทก์ โจทก์จึงต้องนำสืบให้เห็นว่าจำเลยมีความรับผิดที่จะต้องชำระเงินตามฟ้องแก่โจทก์ หากนำสืบไม่ได้ศาลต้องยกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นว่าในชั้นจำเลยทั้งสองยื่นคำให้การ จำเลยต่อสู้คดีเพียงว่ามีเหตุไม่ต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยให้แก่โจทก์หาได้ต่อสู้ในข้อไม่ต้องรับผิดในต้นเงินด้วยไม่ ฉะนั้นปัญหาว่าจำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดในต้นเงินหรือไม่ จึงไม่ใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยส่วนความรับผิดของจำเลยในเรื่องดอกเบี้ยนั้น ปรากฏตามสัญญาขายลดเช็คว่า ถ้าจำเลยที่ 1ผิดนัดไม่ใช้เงินตามเช็ค จำเลยที่ 1 ยอมรับผิดใช้เงินตามเช็คพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี คดีนี้ได้ความว่าโจทก์ไม่ได้รับชำระหนี้ตามเช็คที่จำเลยที่ 1 นำมาขายแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตามข้อสัญญาดังกล่าวนับแต่วันที่โจทก์ไม่ได้รับเงินตามเช็คซึ่งถือว่าเป็นวันผิดนัด ดังที่บัญญัติไว้ในความตอนท้ายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคหนึ่งส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้สลักหลังเช็คที่โจทก์เป็นผู้ทรงนอกจากจะต้องใช้เงินตามเช็คแก่โจทก์ตั้งแต่วันธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 914, 989 แล้ว ยังต้องชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามความในตอนแรกของมาตรา 224 วรรคหนึ่งอีกด้วยด้วยเหตุนี้จำเลยทั้งสองจึงต้องชำระดอกเบี้ยตามฟ้องแก่โจทก์นับแต่วันธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน
จำเลยทั้งสองฎีกาต่อไปว่า สัญญาขายลดเช็คเป็นสัญญาที่บังคับกันไม่ได้โจทก์จึงไม่อาจฟ้องจำเลยโดยใช้สิทธิตามสัญญานี้ ศาลฎีกาเห็นว่าการใช้สิทธิฟ้องบังคับตามสัญญาดังกล่าวเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ แต่เห็นว่าเช็คนั้นคือหนังสือตราสารซึ่งผู้สั่งจ่ายสั่งธนาคารให้ใช้เงินจำนวนหนึ่งเมื่อทวงถามให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งหรือให้ใช้ตามคำสั่งของบุคคลอีกคนหนึ่งอันเรียกว่าผู้รับเงินจึงเป็นทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 99ซึ่งอาจโอนกรรมสิทธิ์กันได้ตามมาตรา 904, 917 และ 989 โจทก์เป็นผู้ประกอบธุรกิจการธนาคารจึงย่อมทำสัญญาซื้อขายลดเช็คอันเป็นสัญญาต่างตอบแทนประเภทหนึ่งซึ่งมีมูลหนี้อยู่ตามสัญญาขายลดเช็คได้เพราะไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดห้ามไว้ โจทก์จึงนำสัญญาดังกล่าวมาฟ้องบังคับจำเลยที่ 1 ได้
ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ในชั้นอุทธรณ์จำเลยได้อุทธรณ์ว่าภาพถ่ายเช็คท้ายฟ้องจะมีต้นฉบับอยู่หรือไม่ และโจทก์ได้รับชำระเงินตามเช็คดังกล่าวจากผู้สั่งจ่ายแล้วหรือไม่ จำเลยทั้งสองไม่ทราบตามภาพถ่ายเช็คท้ายฟ้องไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองลงลายมือชื่อสลักหลังไว้ โจทก์ไม่มีพยานมาสืบ ทั้งโจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองชำระเงินแก่โจทก์ โจทก์ยังไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินตามฟ้อง แต่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยโดยอ้างว่าจำเลยเพิ่งมากล่าวอ้างในคำฟ้องอุทธรณ์จำเลยเห็นว่าอุทธรณ์เหล่านี้เป็นข้อกฎหมายว่าด้วยอำนาจฟ้องแม้จำเลยไม่ต่อสู้ไว้ในศาลชั้นต้นก็ไม่เป็นเหตุที่ศาลอุทธรณ์จะไม่รับวินิจฉัยศาลฎีกาเห็นว่าข้ออุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยอำนาจฟ้องของโจทก์แต่อย่างใดเพราะไม่มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิเป็นคู่ความได้หรือไม่ เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง
พิพากษายืน