คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3564/2548

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การที่จำเลยนำเงินฝากเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์เพื่อชำระหนี้เงินที่กู้ยืมจากโจทก์เป็นการชำระหนี้ผ่านธนาคารที่โจทก์มีบัญชีเงินฝากเพื่อให้โจทก์ได้รับเงินที่ชำระหนี้โดยไม่ได้นิติกรรมโดยตรงต่อโจทก์ ไม่อาจมีการกระทำตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง แต่เป็นกรณีที่เจ้าหนี้ยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ตามมาตรา 321 วรรคหนึ่ง จำเลยจึงนำสืบดังกล่าวได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามสัญญากู้ยืมเงินจำนวน 138,750 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 100,000 บาท นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์ตามฟ้องจริง แต่ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วด้วยการนำเงินฝากเข้าบัญชีของโจทก์ที่ธนาคารสหธนาคาร จำกัด (มหาชน) สาขาสาธุประดิษฐ์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 100,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2539 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จกับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 6,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความรวม 5,000 บาท
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยยังชำระหนี้ให้แก่โจทก์ไม่ครบเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงของโจทก์ คงมีปัญหาข้อกฎหมายที่โจทก์ฎีกาว่า ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือ จำเลยนำสืบการใช้เงินได้เมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง จำเลยจึงนำสืบว่า ชำระหนี้ให้แก่โจทก์แล้วด้วยการนำฝากเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์ไม่ได้ เห็นว่า การที่จำเลยนำเงินฝากเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์เพื่อชำระหนี้เงินที่กู้ยืมจากโจทก์เป็นการชำระหนี้ผ่านธนาคารที่โจทก์มีบัญชีเงินฝากเพื่อให้โจทก์ได้รับเงินที่ชำระหนี้โดยไม่ได้ทำนิติกรรมโดยตรงต่อโจทก์ ไม่อาจมีการกระทำตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง แต่เป็นกรณีที่เจ้าหนี้ยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคหนึ่ง จำเลยจึงนำสืบดังกล่าวได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาว่า จำเลยนำสืบว่าชำระหนี้ให้แก่โจทก์ด้วยการนำเงินฝากเข้าบัญชีของโจทก์ได้นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อกฎหมายของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาเป็นพับ.

Share