แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ผลิตน้ำตาลทรายดิบขายให้แก่องค์การคลังสินค้าขายในประเทศโจทก์จึงเป็นผู้ประกอบการค้ามีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าตามประมวลรัษฎากรมาตรา78และตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นภาษีการค้า(ฉบับที่54)พ.ศ.2517บัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกาบัญชีที่1หมวด1(7)แต่โดยที่ได้มีประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีการค้า(ฉบับที่18)เรื่องกำหนดหน้าที่ผู้เสียภาษีการค้าตามมาตรา78วรรคสองแห่งประมวลรัษฎากรลงวันที่5กุมภาพันธ์2517ข้อ3ให้ผู้ส่งออกเป็นผู้เสียภาษีการค้าในอัตราร้อยละ7ของรายรับดังนั้นแม้ว่าโจทก์มีหน้าที่เสียภาษีการค้าแต่เมื่ออธิบดีกรมสรรพากรได้มีประกาศดังกล่าวผลักภาระการเสียภาษีการค้าให้แก่ผู้ส่งออกต้องชำระภาษีเต็มในอัตราร้อยละ7ของรายรับเสียแล้วเท่ากับจำเลยที่1ยอมให้เปลี่ยนตัวผู้เสียภาษีการค้าจากผู้ผลิตไปเป็นผู้ส่งออกโจทก์จึงไม่ต้องเสียภาษีการค้าจากการขายน้ำตาลทรายดิบให้แก่องค์การคลังสินค้า
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาซื้อขายน้ำตาลทราบดิบในฤดูการผลิต 2522/2523 กับองค์การคลังสินค้าจำนวน 31,966 กระสอบน้ำหนักกระสอบละ 100 กิโลกรัม ราคากระสอบละ 700 บาท เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 22,376,200 บาท ข้อตกลงตามสัญญากำหนดให้ผู้ซื้อมอบน้ำตาลทรายดิบที่ซื้อให้ผู้ขายนำไปปรับปรุงคุณภาพให้มีความชื้นไม่เกินร้อยละ 0.4 ต่อมาเดือนพฤษภาคม 2523 จำเลยที่ 1สั่งให้สรรพากรจังหวัดกาญจนบุรีดำเนินการจัดเก็บภาษีการค้าจากการขายน้ำตาลทรายดิบของโจทก์ดังกล่าว และโจทก์ได้รับแจ้งจากสำนักงานสรรพากรอำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี ว่าโจทก์มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าในอัตราร้อยละ 7 ของรายรับ หากโจทก์ไม่ชำระภาษีภายในกำหนดเวลาตามกฎหมาย โจทก์จะต้องชำระเงินเพิ่มและเบี้ยปรับอีกต่างหากด้วย ดังนั้นเพื่อโจทก์จะไม่ต้องชำระเงินเพิ่มหรือเบี้ยปรับในระหว่างเดือนมิถุนายน 2523 ถึงเดือนกันยายน 2523 โจทก์จึงได้ยื่นแบบแสดงรายการการค้าและชำระภาษีการค้าเงินเพิ่มภาษีการค้าและรายได้ส่งท้องถิ่น (สุขาภิบาล)จากการขายน้ำตาลทรายดิบโดยคิดจากรายรับในการที่โจทก์ได้ส่งมอบน้ำตาลทรายดิบให้แก่องค์การคลังสินค้าในแต่ละครั้ง รวมเป็นเงินภาษีการค้า เงินเพิ่มภาษีการค้าและรายได้ส่วนท้องถิ่นที่โจทก์ชำระทั้งสิ้น 1,648,164.46 บาท น้ำตาลทรายที่โจทก์ขายให้แก่องค์การคลังสินค้ามีความชื้นไม่เกินร้อยละ 0.4 เป็นน้ำตาลทรายดิบซึ่งโจทก์ไม่ต้องเสียภาษี ดังนั้น ในวันที่ 7 กรกฎาคม 2532โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีการค้า เงินเพิ่มภาษีการค้าและรายได้ส่วนท้องถิ่น (สุขาภิบาล) ที่โจทก์ได้ชำระไป แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินคืนแก่โจทก์เป็นเงิน 1,648,164.46 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีจากต้นเงินจำนวน 96,709.89 บาท นับตั้งแต่วันที่ 16 มิถุนายน2523 จนถึงวันฟ้องระยะเวลา 9 ปี 348 วัน เป็นเงินค่าดอกเบี้ยจำนวน 72,194.60 บาท ต้นเงินจำนวน 560,560 บาท นับตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2523 จนถึงวันฟ้องระยะเวลา 9 ปี 319 วันเป็นเงินค่าดอกเบี้ย จำนวน 415,121,56 บาท ต้นเงินจำนวน653,607.68 บาท นับตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2523 จนถึงวันฟ้องระยะเวลา 9 ปี 286 วัน เป็นเงินค่าดอกเบี้ยจำนวน 479,595.82 บาทต้นเงินจำนวน 326,735.87 บาท นับตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2523จนถึงวันฟ้องระยะเวลา ปี 256 วัน เป็นเงินค่าดอกเบี้ยจำนวน237,733.87 บาท ต้นเงินจำนวน 5,281.76 บาท นับตั้งแต่วันที่15 กันยายน 2523 จนถึงวันฟ้องระยะเวลา 9 ปี 256 วัน เป็นเงินค่าดอกเบี้ยจำนวน 3,843.03 บาท ต้นเงินจำนวน 5,269.26 บาทนับตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2523 จนถึงวันฟ้องระยะเวลา 9 ปี256 วัน เป็นเงินค่าดอกเบี้ยจำนวน 3,833.93 บาท คิดเป็นดอกเบี้ยทั้งสิ้น 1,212,322.81 บาท รวมเป็นยอดเงินที่จำเลยทั้งสองต้องชำระคืนโจทก์ทั้งสิ้น 2,860,487.27 บาท และดอกเบี้ยร้อยละ7.5 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 1,648,164.46 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเงินคืนแก่โจทก์จนเสร็จสิ้น
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์มีหน้าที่เสียภาษีการค้าจากการขายน้ำตายทรายดิบอัตราร้อยละ 7 ของรายรับ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสองเรื่องดอกเบี้ยตามที่โจทก์ขอมา ในกรณีต้องคืนเงินภาษีอากรตามที่โจทก์ได้ชำระไว้แล้วการคิดดอกเบี้ยต้องเริ่มคิดตั้งแต่วันถัดจากวันครบระยะเวลาสามเดือน นับแต่วันยื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีอากรตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 133 (พุทธศักราช 2516) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการให้ดอกเบี้ยแก่ผู้ได้รับคืนเงินภาษีอากรขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 คืนเงินภาษีอากรจำนวน1,648,164.46 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่8 ตุลาคม 2532 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และดอกเบี้ยทั้งหมดต้องไม่เกินจำนวนภาษีอากรที่โจทก์ได้รับคืนดังกล่าว ยกฟ้องจำเลยที่ 2
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยทั้งสองไม่มีข้อโต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า เมื่อปี 2523น้ำตาลทรายขาวภายในประเทศขาดแคลน โจทก์ทำสัญญาขายน้ำตาลทรายดิบให้แก่องค์การคลังสินค้าจำนวน 31,966 กระสอบ น้ำหนักกระสอบละ100 กิโลกรัม ราคากระสอบละ 700 บาท ตามสัญญาซื้อขายน้ำตาลทรายดิบลงวันที่ 9 มิถุนายน 2523 เอกสารหมาย จ.3 แผ่นที่ 1 โดยมีธนาคารมหานคร จำกัด เป็นผู้ค้ำประกันตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.3 แผ่นที่ 4 และในเดือนพฤษภาคม 2523 ถึงเดือนพฤษภาคม 2523 โจทก์ได้เสียภาษีการค้าและภาษีบำรุงท้องถิ่นให้แก่จำเลย ตามแบบแสดงรายการการค้าเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 5ถึงแผ่นที่ 10 และใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 1, 2, 4,6, 8, 10 และ 12 โจทก์ขอคืนเงินภาษีและเงินเพิ่มดังกล่าวแล้วแต่จำเลยที่ 1 ไม่คืนให้
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองข้อแรกว่าสินค้าที่โจทก์จำหน่ายและยื่นแบบแสดงรายการการค้าเอกสารหมาย ล.1แผ่นที่ 5 ถึงแผ่นที่ 10 เป็นน้ำตาลทรายดิบที่โจทก์จำหน่ายให้แก่องค์การคลังสินค้าหรือไม่ โดยจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า โจทก์ทำสัญญาขายน้ำตาลทรายดิบกับองค์การคลังสินค้าลงวันที่ 9 มิถุนายน2523 ฉะนั้นรายรับในเดือนพฤษภาคม 2523 จึงมิใช่รายรับจากการขายน้ำตาลทรายดิบและโจทก์ไม่มีพยานบุคคลและพยานเอกสารที่แสดงว่าโจทก์ได้ส่งมอบน้ำตาลทรายดิบให้แก่องค์การคลังสินค้าในเดือนไหนจำนวนเท่าใดทั้งแบบแสดงรายการการค้าที่โจทก์ยื่นตามเอกสารหมายล.1 แผ่นที่ 5 ถึงแผ่นที่ 10 จึงมิได้ระบุว่าเป็นการขายน้ำตาลทรายดิบนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่าสินค้าที่โจทก์จำหน่ายตามแบบแสดงรายการการค้าเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 5 ถึงแผ่นที่ 10 เป็นน้ำตาลทรายดิบที่โจทก์ขายให้แก่องค์การคลังสินค้า
มีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองในข้อต่อไปว่าโจทก์จะต้องเสียภาษีการค้าจากการขายน้ำตายทรายดิบดังกล่าวหรือไม่โดยจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า โจทก์เป็นผู้ผลิตน้ำตาลทรายขาวและน้ำตาลทรายดิบออกจำหน่ายในราชอาณาจักร จึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าตามประมวลรัษฎากร มาตรา 78 ไม่มีกฎหมายใดที่ยกเว้นการเรียกเก็บภาษีการค้าที่โจทก์ เห็นว่า ประมวลรัษฎากร มาตรา 78ที่ใช้บังคับในขณะที่โจทก์เสียภาษีการค้า บัญญัติว่า “ผู้ประกอบการค้าตามที่ระบุในบัญชีอัตราภาษีการค้าท้ายหมวดนี้ มีหน้าที่เสียภาษีการค้าจากรายรับของทุกเดือนภาษีตามอัตราในบัญชีอัตราภาษีการค้าดังกล่าวนั้น” มาตรา 78 วรรคสอง (2) บัญญัติว่า”ในกรณีอื่น ให้เสียภาษีในอัตรารวมกันเท่ากับที่ระบุไว้ในบัญชีอัตราภาษีการค้า” โจทก์ผลิตน้ำตาลทรายดิบขายให้แก่องค์การคลังสินค้าขายในประเทศ โจทก์จึงเป็นผู้ประกอบการค้า มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าตามบทบัญญัติดังกล่าวและตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นภาษีการค้า (ฉบับที่ 54)พ.ศ. 2517 บัญชีท้ายพระกฤษฎีกา บัญชีที่ 1 หมวด 1(7) แต่โดยที่มีประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีการค้า (ฉบับที่ 18)เรื่อง กำหนดหน้าที่ผู้เสียภาษีการค้า ตามมาตรา 78 วรรคสองแห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2517 ข้อ 3 ให้ผู้ส่งออกเป็นผู้เสียภาษีการค้าในอัตราร้อยละ 7 ของรายรับ ดังนั้น แม้ว่าโจทก์มีหน้าที่เสียภาษีการค้า แต่เมื่ออธิบดีกรมสรรพากรได้มีประกาศดังกล่าวผลักภาระการเสียภาษีการค้าให้แก่ผู้ส่งออกต้องชำระภาษีเต็มในอัตราร้อยละ 7 ของรายรับเสียแล้ว เท่ากับจำเลยที่ 1ยอมให้เปลี่ยนตัวผู้เสียภาษีการค้าจากผู้ผลิตไปเป็นผู้ส่งออกโจทก์จึงไม่ต้องเสียภาษีการค้าจากการขายน้ำตายทรายดิบให้แก่องค์การคลังสินค้า ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 คืนเงินภาษีการค้าแก่โจทก์ชอบแล้ว
พิพากษายืน