แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เงินเพิ่มพิเศษมีผลใช้บังคับในการรวมเป็นเงินเดือนสุดท้ายตามพ.ร.บ. บำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2526 มาตรา 9มีผลใช้บังคับย้อนหลังตั้งแต่วันประกาศใช้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้บำเหน็จความชอบเป็นกรณีพิเศษพ.ศ. 2521 มาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ. ดังกล่าวต้องตีความว่า บุตรซึ่งได้มีคำพิพากษาของศาลว่าเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายก่อนวันที่พ.ร.บ. ฉบับนี้ใช้บังคับย่อมมีสิทธิเรียกร้องและฟ้องเรียกบำนาญพิเศษในฐานะทายาทผู้มีสิทธิเมื่อ พ.ร.บ. ฉบับนี้ใช้บังคับแล้วกรณีเช่นนี้หาใช่เป็นกรณีที่กฎหมายมีผลใช้บังคับย้อนหลังไม่.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมจ่าสิบตำรวจทวี เวชนุสินธิ์ จดทะเบียนสมรสกับนางเรวดี มีบุตรร่วมกัน 1 คน ต่อมาจดทะเบียนหย่ากันแต่ยังอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาและมีบุตรด้วยกันอีก 1 คนคือ โจทก์จ่าสิบตำรวจทวีถูกผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ยิงตายเมื่อวันที่ 1มิถุนายน 2525 ขณะปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งทางราชการ บุตรจึงมีสิทธิได้รับเงินบำนาญพิเศษจนอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ และหากศึกษาอยู่ก็ได้รับต่อไปตลอดเวลาที่ยังศึกษาอยู่จนกว่าอายุครบ 25 ปีบริบูรณ์นางเรวดีได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลคดีเด็กและเยาวชนกลางและศาลคดีเด็กและเยาวชนกลางมีคำสั่งเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2525ว่า โจทก์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของจ่าสิบตำรวจทวี โจทก์จึงมีสิทธิได้รับเฉลี่ยเงินบำนาญพิเศษเท่ากับบุตรคนอื่นของจ่าสิบตำรวจทวีขอให้พิพากษาบังคับให้จำเลยจ่ายเงินบำนาญพิเศษให้แก่โจทก์เดือนละ 1,153.10 บาท ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 23,062 บาท และให้จ่ายต่อไปนับแต่วันฟ้องจนกว่าโจทก์จะมีอายุ 25 ปีบริบูรณ์ รวมทั้งขอรับสิทธิอื่นที่โจทก์มีสิทธิได้รับตามกฎหมายด้วย
จำเลยให้การว่าผู้มีสิทธิได้รับบำนาญพิเศษต้องเป็นทายาทในขณะที่จ่าสิบตำรวจทวีถึงแก่ความตาย โจทก์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจ่าสิบตำรวจทวีเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2525 ซึ่งเป็นวันที่ศาลสั่ง สิทธิของโจทก์จึงเกิดขึ้นภายหลังจากที่จ่าสิบตำรวจทวีถึงแก่ความตาย ขณะที่จ่าสิบตำรวจทวีถึงแก่ความตายโจทก์ไม่ใช่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่ใช่ทายาทตามกฎหมายของจ่าสิบตำรวจทวีโจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับบำนาญพิเศษตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 ทั้งขณะที่จ่าสิบตำรวจทวีถึงแก่ความตายนั้นพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2526 ยังไม่ใช้บังคับและพระราชบัญญัติดังกล่าวไม่ได้บัญญัติให้มีผลย้อนหลังหากโจทก์มีสิทธิได้รับบำนาญพิเศษจะต้องเฉลี่ยตามส่วนของบุตรซึ่งจะได้เพียงเดือนละ 790.20 บาท รวม 20 เดือน เป็นเงิน 15,804 บาทการที่จะได้รับถึงอายุ 25 ปีนั้น โจทก์จะต้องศึกษาอยู่ในชั้นเตรียมอุดมศึกษาหรืออุดมศึกษาหรือเทียบเท่า
ระหว่างพิจารณา คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่าจ่าสิบตำรวจทวีถึงแก่ความตายก่อนที่จะประกาศใช้พระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2526 ศาลคดีเด็กและเยาวชนกลางสั่งให้โจทก์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจ่าสิบตำรวจทวีก่อนที่พระราชบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับเช่นเดียวกันหากโจทก์มีสิทธิที่จะได้รับบำนาญพิเศษตามฟ้องก็จะมีสิทธิได้เดือนละ 790.20 บาท นอกจากนี้โจทก์ขอสละสิทธิในบำนาญพิเศษที่ทางราชการได้จ่ายให้แก่ทายาทไปแล้ว แต่ขอรับบำนาญพิเศษเป็นรายเดือนนับตั้งแต่เดือนถัดจากที่ศาลพิพากษาเป็นต้นไปเท่านั้น
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยจ่ายเงินบำนาญพิเศษให้แก่โจทก์เดือนละ 790.20 บาท นับถัดจากเดือนที่ศาลพิพากษาเป็นต้นไปภายในกำหนดเวลาและเงื่อนไขของบทบัญญัติมาตรา 45(1) แห่งพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ในปัญหาที่ว่าพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2526 มีผลใช้บังคับย้อนหลังหรือไม่นั้น เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัตินี้ได้ระบุไว้ที่หมายเหตุท้ายพระราชบัญญัตินี้เองว่า “โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 ให้รวมเงินเพิ่มพิเศษรายเดือนสำหรับการปราบปรามผู้กระทำความผิด (พ.ป.ผ.)เข้ากับเงินเดือนเดือนสุดท้าย เพื่อการคำนวณบำเหน็จบำนาญโดยให้มีผลใช้บังคับย้อนหลังตั้งแต่วันประกาศใช้ระเบียบสำนักนายยกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้บำเหน็จความชอบเป็นกรณีพิเศษพ.ศ. 2521 และสมควรให้บุตรที่ได้มีคำพิพากษาของศาลว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย มีสิทธิได้รับบำนาญพิเศษและบำเหน็จตกทอดได้ เพื่อให้สอดคล้องกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 ฉบับปัจจุบัน ฯลฯ” สำหรับมาตรา 2 แห่งพระราชบัญญัตินี้บัญญัติว่า “พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบิกษาเป็นต้นไป” ส่วนมาตรา 9 ของพระราชบัญญัติเดียวกันนี้บัญญัติว่า “ในกรณีที่มีผู้ได้รับเงินเพิ่มพิเศษรายเดือนสำหรับการปราบปรามผู้กระทำความผิดตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้บำเหน็จความชอบเป็นกรณีพิเศษ พ.ศ. 2521 อยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้เงินเพิ่มพิเศษดังกล่าวมีผลใช้บังคับในการรวมเป็นเงินเดือนเดือนสุดท้ายตั้งแต่วันที่ 24พฤศจิกายน 2521” ดังนั้นเมื่ออ่านหมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติกับมาตรา 2 และมาตรา 9 ประกอบกันแล้วจะเห็นได้ว่า พระราชบัญญัตินี้โดยทั่วไปมิได้มีผลใช้บังคับย้อนหลังแต่ประการใด แต่มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไปจึงมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2526 เป็นต้นไป คงมีผลใช้บังคับย้อนหลังเฉพาะกรณีตามมาตรา 9 ในเรื่องการให้รวมเงินเพิ่มพิเศษรายเดือนสำหรับการปราบปรามผู้กระทำความผิดเข้ากับเงินเดือนเดือนสุดท้าย เพื่อการคำนวณบำเหน็จบำนาญ ดังได้อธิบายไว้ที่หมายเหตุเท่านั้น
สำหรับมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติให้เพิ่มบทนิยามคำว่า “ทายาทผู้มีสิทธิ” ให้หมายความว่า
(1) บุตรและให้หมายความรวมถึงบุตรซึ่งได้มีคำพิพากษาของศาลว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายซึ่งได้มีการฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรก่อนหรือภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่บิดาตายหรือนับแต่วันที่ได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของบิดา
(2) สามีหรือภริยา
(3) บิดาและมารดา
ตามบทบัญญัติดังกล่าวบุตรซึ่งได้มีคำพิพากษาของศาลว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายหาได้หมายความว่าจะต้องมีคำพิพากษาของศาลเช่นนั้นตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2526 อันเป็นวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับเป็นต้นไปจึงจะเป็นทายาทผู้มีสิทธิส่วนบุตรที่มีคำพิพากษาของศาลเช่นนั้นก่อนวันดังกล่าวมิใช่ทายาทผู้มีสิทธิดังคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นและฎีกาของจำเลยไม่ หากแปลความหมายเช่นนั้น คำว่า บุตรสามีหรือภริยา บิดาและมารดาในมาตราเดียวกันนี้ก็จะต้องตีความว่าหมายถึงบุตรที่เกิดเมื่อพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับแล้ว สามีหรือภริยาที่สมรสกันเมื่อพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับแล้ว และบิดามารดาซึ่งเริ่มเป็นบิดามารดาเมื่อพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับแล้วเช่นเดียวกัน ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่าเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัตินี้หาเป็นเช่นนั้นไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าสำหรับบุตรซึ่งได้มีคำพิพากษาของศาลเช่นนั้นก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ย่อมมีสิทธิเรียกร้องและฟ้องเรียกบำนาญพิเศษในฐานะทายาทผู้มีสิทธิ เมื่อพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับแล้วโดยที่ก่อนพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับหามีสิทธิเช่นนั้นไม่ สำหรับโจทก์ในคดีนี้ก็เช่นเดียวกัน ขณะโจทก์เรียกร้องบำนาญพิเศษจากจำเลยและขณะโจทก์ฟ้องคดีนี้นั้น พระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ(ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2526 ใช้บังคับและโจทก์เป็นทายาทผู้มีสิทธิแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิได้รับบำนาญพิเศษ กรณีเช่นนี้หาใช่เป็นกรณีที่กฎหมายมีผลใช้บังคับย้อนหลังดังคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยจ่ายบำนาญพิเศษแก่โจทก์นั้นศาลฎีกาเห็นด้วยในผล ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น…
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายบำนาญพิเศษให้แก่โจทก์นับตั้งแต่เดือนกันยายน 2527 เป็นต้นไป นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”.