คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3557/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์ให้เงิน 20,000 บาท ซึ่งเรียกว่าสินสอดและให้แหวนเพชรกับสร้อยทองคำซึ่งเรียกว่าของหมั้นแก่จำเลยนั้นโจทก์หาได้ให้ในฐานะเป็นสินสอดและของหมั้นไม่เพราะสินสอดหรือของหมั้นนั้นต้องเป็นการให้โดยมีเจตนาจะสมรสกันตามกฎหมายเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่าทั้งสองฝ่ายเพียงแต่ประกอบพิธีสมรสตามประเพณี โดยไม่มีเจตนาที่จะจดทะเบียนสมรสเพื่อให้มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย เงินและทรัพย์นั้น จึงหาได้ให้ในฐานะเป็นสินสอดและของหมั้นตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1437 ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 ได้สู่ขอจำเลยที่ 2 ต่อจำเลยที่ 1 เพื่อให้สมรสกับโจทก์ที่ 2 จำเลยทั้งสองตกลงและเรียกสินสอดทองหมั้น แล้วต่อมาในวันประกอบพิธีสมรส โจทก์ได้มอบเงินสินสอด 20,000 บาท และของหมั้นคือแหวน ลูกประคำคอทองคำและสร้อยข้อมือแก่จำเลยทั้งสอง หลังจากเสร็จพิธีสมรสตามประเพณีแล้ว จำเลยที่ 2 ไม่ยอมอยู่ร่วมกับโจทก์ที่ 2ฉันสามีภรรยา และไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ที่ 2 จึงขอให้จำเลยคืนเงินสินสอดกับทองของหมั้น

จำเลยให้การว่า เมื่อเสร็จพิธีสมรสแล้ว จำเลยที่ 2 ก็ได้อยู่กินกับโจทก์ที่ 2ฉันสามีภรรยากันนาน 2 สัปดาห์ แล้วโจทก์ที่ 2 ละทิ้งจำเลยที่ 2 ไปเอง ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองว่า โจทก์ที่ 2 กับจำเลยที่ 2 ไม่มีเจตนาจะจดทะเบียนสมรสกัน คงมีเจตนาเพียงแต่ทำพิธีสมรสกันตามประเพณีและอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยาเท่านั้น มิได้ถือเอาการจดทะเบียนเป็นสำคัญมาแต่แรก ขณะนี้ทั้งสองฝ่ายแยกกันอยู่ โจทก์จึงฟ้องเรียกสินสอดและทองหมั้นคืน พิเคราะห์แล้วเห็นว่าการที่โจทก์ให้เงิน 20,000 บาทซึ่งเรียกว่าสินสอดและให้แหวนเพชรกับสร้อยทองคำ ซึ่งเรียกว่าของหมั้นแก่จำเลยนั้น โจทก์หาได้ให้ในฐานะเป็นสินสอดและของหมั้นไม่เพราะสินสอดหรือของหมั้นนั้นต้องเป็นการให้โดยมีเจตนาจะสมรสกันตามกฎหมายเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่าทั้งสองฝ่ายเพียงแต่ประกอบพิธีสมรสหาได้มีเจตนาที่จะไปจดทะเบียนสมรสเพื่อให้มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายไม่การประกอบพิธีดังกล่าวจึงถือไม่ได้ว่าเป็นการสมรสโดยชอบด้วยกฎหมายเหตุดังกล่าวเงินและทรัพย์ที่โจทก์อ้างว่ามอบให้แก่ฝ่ายหญิงจึงหาได้ให้ในฐานะสินสอดและของหมั้นตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ มาตรา 1437 ไม่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกคืน

พิพากษายืน

Share