แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสามร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าที่พิพาทเป็นของบิดาจำเลยที่ 1 ซึ่งตายไปแล้ว และเจ้าพนักงานผู้รับแจ้งได้จดข้อความที่แจ้งลงในเอกสารราชการซึ่งต่อมาจำเลยที่ 1 ก็ได้ไปขอรับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรมและขอออก น.ส.3 สำหรับที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวดังนี้ โจทก์ย่อมเป็นผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการที่จำเลยทั้งสามแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267 แล้ว เพราะโจทก์อาจต้องเสียที่พิพาทไปเพราะการกระทำของจำเลยทั้งสาม โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 267, 83, 84
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267 ประกอบกับมาตรา 83 จำคุกคนละ 3 เดือน
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ข้อ 2.1 เพียงว่า โจทก์เป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่ จำเลยที่ 2 ที่ 3 ฎีกาว่า ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ การที่จำเลยแจ้งความต่อเจ้าพนักงานที่ดินไม่มีข้อความตอนใดที่พาดพิงไปถึงตัวโจทก์ การออก น.ส.3 ก็เป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานที่ดิน การกระทำของจำเลยจึงไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์นั้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่จำเลยทั้งสามร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานที่ดินที่ว่าที่พิพาทเป็นของบิดาจำเลยที่ 1 ซึ่งตายไปแล้ว และเจ้าพนักงานผู้รับแจ้งได้จดข้อความที่แจ้งลงในเอกสารราชการ ซึ่งต่อมาจำเลยที่ 1 ก็ได้ไปขอรับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรมและขอออก น.ส.3 สำหรับที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวดังนี้โจทก์ย่อมเป็นผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการที่จำเลยทั้งสามแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 267 แล้ว เพราะโจทก์อาจต้องเสียที่พิพาทไปเพราะการกระทำดังกล่าวของจำเลยทั้งสามโจทก์จึงเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4) และมีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้ ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน