คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2982/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยให้การว่าหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ไม่มีตราสำคัญของโจทก์ประทับและผู้ลงลายมือชื่อมอบอำนาจไม่มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์เท่านั้น มิได้ให้การปฏิเสธว่าโจทก์มิใช่นิติบุคคลตามกฎหมายของประเทศมาเลเซีย จึงมีผลเท่ากับจำเลยยอมรับว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลจดทะเบียนในประเทศมาเลเซียตามฟ้องจริง โจทก์ไม่จำต้องนำสืบถึงการเป็นนิติบุคคลของโจทก์ส่วนปัญหาว่าหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ไม่สมบูรณ์เพราะเหตุอื่นและขัดต่อกฎหมายไทยจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยให้การว่า ได้ตกลงกับโจทก์คิดดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 14 ต่อปี โจทก์คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละ 14 ต่อปี ตามที่ตกลงไว้ จึงเป็นการไม่ชอบ จำเลยฎีกาว่าควรเสียดอกเบี้ยหลังจากบัญชีเดินสะพัดสิ้นสุดลงแล้วในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 7 จึงเป็นเรื่องนอกคำให้การและเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จดทะเบียนที่ประเทศมาเลเซีย นายยับ ก็อง ผู้จัดการสาขาในประเทศไทยได้รับมอบอำนาจให้ดำเนินคดีนี้แทนโจทก์จำเลยที่ ๑ ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์เป็นเงิน ๒,๗๐๐.๐๐๐ บาท โดยมีจำเลยที่ ๒จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๙๑๐ ตำบลหอรัตนไชย อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นประกันเงินกู้ดังกล่าวในวงเงิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท หลังจากวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๒๖ จำเลยที่ ๑ ไม่ได้ติดต่อกับโจทก์อีก นับตั้งแต่วันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๒๓ เป็นต้นมา โจทก์คิดดอกเบี้ยจำเลยที่ ๑ จากเดิมร้อยละ ๑๔ ต่อปี ตามที่ตกลงกันเป็นร้อยละ ๑๖, ๑๘ และ ๑๙ ต่อปีตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย คิดถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๒๖ จำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์เป็นเงิน ๓,๐๒๒,๑๔๔.๕๗ บาท โจทก์ทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนองแล้ว ขอให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองเป็นเงิน ๓,๐๒๒,๑๔๔.๕๗ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยทบต้นร้อยละ ๑๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีไม่มีดวงตราของโจทก์ประทับ ผู้ลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจเป็นเพียงกรรมการและเลขานุการไม่มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์จำเลยที่ ๑ กู้เงินโจทก์เป็นเงิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาทเท่านั้น ดอกเบี้ยตามฟ้องไม่ถูกต้อง โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในต้นเงินกู้ในอัตราร้อยละ ๑๔ ต่อปี ตามที่ตกลงกันไว้เท่านั้น จำเลยผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์ตั้งแต่เดือนกันยายน ๒๕๒๕ ถึงเดือนกรกฎาคม ๒๕๒๒ เป็นเงินรวม ๒๗๐,๐๐๐ บาท
จำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงินให้โจทก์ ๒,๐๒๓,๓๓๓.๘๙ บาทพร้อมดอกเบี้ยทบต้นอัตราร้อยละ ๑๔ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๒๓ ถึงวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๒๓และอัตราร้อยละ ๑๗.๕ ต่อปี ในยอดเงินที่ค้างในวันที่ดังกล่าวโดยไม่ทบต้นจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองชำระเงินให้โจทก์จำนวน๒,๐๒๓,๓๓๓.๘๙ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยทบต้นอัตราร้อยละ ๑๔ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๒๓จนถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๒๓ โดยหักหนี้ให้จำเลยแต่ละครั้งตามจำนวนเงินและกำหนดเวลาที่จำเลยนำเงินเข้าฝากดังกล่าวข้างต้น และให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๔ ต่อปี ในยอดเงินที่ค้างในวันถัดจากวันที่บัญชีเดินสะพัดสิ้นสุดเป็นต้นไป โดยไม่ทบต้นจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ฎีกามา ๒ ประเด็น คือ ประเด็นแรก นายยับก็อง ผู้รับมอบอำนาจไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้เพราะโจทก์ไม่มีหนังสือรับรองการเป็นนิติบุคคลของโจทก์รวมทั้งหลักฐานเป็นหนังสือว่า ผู้ลงชื่อมอบอำนาจในหนังสือมอบอำนาจเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ได้ หนังสือมอบอำนาจของโจทก์ไม่สมบูรณ์และขัดต่อกฎหมายไทย เห็นว่า จำเลยให้การว่าหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ไม่มีตราสำคัญของโจทก์ประทับ และผู้ลงลายมือชื่อมอบอำนาจไม่มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์เท่านั้น มิได้ให้การปฏิเสธว่าโจทก์มิใช่นิติบุคคลตามกฎหมายของประเทศมาเลเซียจึงมีผลเท่ากับจำเลยยอมรับว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลจดทะเบียนในประเทศมาเลเซียตามฟ้องจริง โจทก์จึงไม่จำต้องนำสืบถึงการเป็นนิติบุคคลของโจทก์ นอกจากนี้โจทก์มีนายยับ ก็อง ผู้จัดการสาขาของโจทก์ในประเทศไทยมาเบิกความว่า ได้รับมอบอำนาจให้ดำเนินคดีแทนโจทก์ตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.๑ นายโมฮาเหม็ด ไท้ป บิน อับดุล ฮามัด และนายที เค็ง จู ผู้ลงนามแทนโจทก์ในหนังสือมอบอำนาจ มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ได้ โดยมีนายลี ออง ตั๊ก ออน โนตารีปับลิก ของประเทศมาเลเซียลงนามรับรองด้วยตรงกับข้อความที่ปรากฏในหนังสือรับรองของโนตารีปับลิกและหนังสือมอบอำนาจ จำเลยไม่ได้นำสืบหักล้างให้เห็นเป็นอย่างอื่น ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า นายยับ ก็อง ได้รับมอบอำนาจให้ดำเนินคดีนี้และมีอำนาจฟ้องจำเลย ส่วนปัญหาอื่นเกี่ยวกับประเด็นนี้ จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ประเด็นข้อที่สอง ขอให้ศาลฎีกาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เรื่องดอกเบี้ยจากร้อยละ๑๔ ต่อปี ในยอดเงินที่ค้างในวันถัดจากวันที่บัญชีเดินสะพัดสิ้นสุดลง เป็นดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี โดยจำเลยที่ ๑ อ้างว่า ข้อตกลงเกี่ยวกับบัญชีเดินสะพัดเรื่องอัตราดอกเบี้ย กำหนดส่งดอกเบี้ย และนำดอกเบี้ยมาทบต้นได้สิ้นสุดไปแล้วเมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัด และหักทอนตามบัญชีเดินสะพัดแล้วโจทก์คงคิดดอกเบี้ยได้ในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗ นั้นเห็นว่า ตามคำให้การของจำเลยที่ ๑ ข้อ ๓.๒ มีความว่า จำเลยที่ ๑ ได้ตกลงกับโจทก์คิดดอกเบี้ยเพียงอัตราร้อยละ ๑๔ ต่อปี ดังนั้นที่โจทก์คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละ ๑๔ ต่อปี ตามที่ตกลงไว้ จึงเป็นการไม่ชอบ จำเลยไม่ได้ต่อสู้ไว้ว่า โจทก์คิดดอกเบี้ยได้เพียงร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗ ดังนั้นที่จำเลยฎีกาว่าควรเสียดอกเบี้ยหลังจากบัญชีเดินสะพัดสิ้นสุดลงแล้วในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จึงเป็นเรื่องนอกคำให้การ และเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายืน.

Share