คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1845/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยกับ พ. ไม่มีมูลหนี้ตามเช็คต่อกัน พ. ขอยืมเช็คจากจำเลยมาเพื่อนำเข้าบัญชีแทนเงินที่ขาดบัญชีโดย จะไม่ นำเช็คไปเรียกเก็บเงิน จำเลยไม่ได้ออกเช็ค เพื่อเจตนาชำระหนี้ถือ ไม่ ได้ว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดฐาน ออกเช็ค โดย เจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้ เงินตาม เช็ค หรือโดย ขณะที่ออกไม่มีเงินอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้ เงิน ได้หรือออกเช็ค ให้ใช้ เงินมีจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้ เงิน ได้ในขณะที่ออกเช็ค.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 จำคุกกระทงละ 6 เดือน เรียงกระทงลงโทษ 4 กระทง รวมจำคุก 24 เดือน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับ ตามเช็คเอกสารหมายจ.4, จ.6, จ.8 และ จ.10 มอบให้นางพวงเพชร เจริญสุขภาพประจำฝ่ายส่งเสริมและพัฒนาวิชาชีพครู ของคุรุสภา ผู้เสียหายแล้วนางพวงเพชรนำเช็คพิพาทไปจ่ายให้คุรุสภาเพื่อเป็นค่าเดินทางของข้าราชการครูที่จะไปทัศนศึกษาต่างประเทศ ในโครงการเดินทางเพื่อการศึกษาของคุรุสภา ต่อมาคุรุสภาเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลว่า บัญชีปิดแล้ว คงมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยมีความผิดตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษมาหรือไม่ นายดุสิต บุณยากร พยานโจทก์หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมพัฒนาวิชาชีพครู คุรุสภา ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบโครงการเดินทางเพื่อการศึกษาของคุรุสภาดังกล่าว เบิกความว่า เช็คพิพาททั้งสี่ฉบับนี้นางพวงเพชรจะนำมาจากที่ไหนไม่ทราบ แต่พยานเห็นจำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายในเช็คและส่งมอบให้แก่นางพวงเพชรและทราบต่อมาในภายหลังว่านางพวงเพชรนำเช็คดังกล่าวมาชำระหนี้ค่าเดินทาง นางพวงเพชร พยานโจทก์เบิกความฟังได้ว่า ในปีงบประมาณ2529 ซึ่งจะมีการปิดงบบัญชีในเดือนกันยายน 2529 เงินค่าเดินทางในโครงการเดินทางเพื่อการศึกษาของคุรุสภา รุ่น 9 ขาดหายไปประมาณ 700,000 บาทเศษ พยานจึงได้แจ้งให้นายดุสิตทราบเรื่องนายดุสิต นางภาณี จั่นวัฒนพงศ์ ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายการเงินและพยานจึงนำเงินในโครงการรุ่นที่ 10 มาใส่ให้เต็มเพื่อจะปิดงบบัญชีลงก่อนวันที่ 30 กันยายน 2529 เมื่อนำเงินมาใส่ดังกล่าวแล้ว ปรากฏว่าเงินค่าเดินทางยังขาดอยู่อีกประมาณ 200,000 บาทนางภาณีให้พยานไปยืมเช็คใครก็ได้มาใส่ให้เต็มยอดเงิน มิฉะนั้นทางงบประมาณจะไม่ยอมให้ผ่าน และจะเป็นการเสียหายมาก วันที่ 30กันยายน 2529 ตอนเย็น นางถนิม ประสงค์ศิลป์ ซึ่งทำงานอยู่ในสำนักงานเลขาธิการคุรุสภาด้วยกันและเป็นเพื่อนกับพยานได้มาที่ห้องทำงานพยาน พยานเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง นางถนิมแนะนำว่ามีเพื่อนรุ่นน้องคือจำเลยมีเช็คอยู่ไม่ทราบว่าจำเลยจะยอมให้เช็คยืมมาหรือไม่ ในคืนวันที่ 30 กันยายนดังกล่าว พยานจึงไปที่บ้านนางถนิมซึ่งอยู่ติดกับบ้านของจำเลยได้มีการพูดจากับจำเลยเพื่อขอยืมเช็คประมาณ 200,000 บาท จำเลยยอมให้ยืมโดยออกเช็คให้แต่ไม่ใช่เช็คพิพาทคดีนี้ วันรุ่งขึ้นนางพวงเพชรนำเช็ค 200,000 บาทดังกล่าวมาให้ทางสำนักงาน ปรากฏว่าเช็คฉบับนี้เรียกเก็บเงินได้เพราะนายดุสิตให้พยานนำเงินโครงการ รุ่นที่ 10 มาให้พยานนำไปเข้าบัญชีของจำเลย เป็นเหตุให้เงินสดในโครงการรุ่นที่ 10หายไปอีก 200,000 บาท รวมทั้งหมดในโครงการรุ่นที่ 10เงินคงหายไปประมาณ 700,000 บาท นายดุสิตจึงให้พยานไปยืมเช็คจากจำเลยมาอีกครั้งหนึ่ง จำเลยออกเช็คให้สี่ฉบับรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 607,000 บาท โดยส่วนตัวพยานกับจำเลยไม่รู้จักกันต่อมาปรากฏว่าเช็คทั้งสี่ฉบับเรียกเก็บเงินไม่ได้ ทางคุรุสภาได้ดำเนินคดีกับพยานในข้อหายักยอกตลอดจนนายดุสิตและนางสมศรีทิพย์บันเทิง ผู้ช่วยพยานก็ถูกดำเนินคดีด้วยเช่นกัน พยานและคนอื่นทราบจากจำเลยล่วงหน้าแล้วว่าเงินในบัญชีของจำเลยไม่มี ในวันที่เช็คถึงกำหนด นายดุสิตพูดกับจำเลยด้วยว่า เช็คทั้งสี่ฉบับนี้นำมาเพียงเป็นประกันเท่านั้น จะไม่มีการนำไปเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงิน จากข้อเท็จจริงดังกล่าวเห็นได้ว่า จำเลยกับนางพวงเพชรไม่มีมูลหนี้ตามเช็คต่อกัน นางพวงเพชรขอยืมเช็คจากจำเลยมาเพื่อนำเข้าบัญชีแทนเงินที่ขาดบัญชีโดยจะไม่นำเช็คไปเรียกเก็บเงินจำเลยไม่ได้ออกเช็คเพื่อเจตนาชำระหนี้ ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดฐานออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค หรือโดยขณะที่ออกไม่มีเงินอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้หรือออกเช็คให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ในขณะที่ออกเช็ค ตามฟ้องของโจทก์ …”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share