คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2011/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

สัญญาเช่าไม่มีกำหนดเวลา ตกลง ชำระค่าเช่าภายในวันที่ 5ของทุกเดือน โจทก์บอกเลิกการเช่า ให้จำเลยออกจากอาคารพิพาทภายในวันที่ 5 มีนาคม 2528 จำเลยรับหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าวันที่ 31 มกราคม 2528 นับจากวันที่จำเลยรับหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่า จนถึง วันเลิกสัญญา เป็นเวลานานกว่า 1 เดือน เป็นการบอกกล่าวแก่จำเลยให้รู้ตัวก่อนชั่ว กำหนดเวลาชำระค่าเช่าระยะหนึ่งแล้ว การบอกเลิกสัญญาเช่าจึงเป็นไปโดย ชอบตาม ป.พ.พ.มาตรา 566 ประกอบมาตรา 570 โจทก์ฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายก่อนฟ้องจำนวน 120,000 บาทอัตราค่าทนายความชั้นสูงในศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาตาม ตาราง 6ท้าย ป.วิ.พ. ไม่เกินจำนวนร้อยละ 3.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2515 จำเลยทำสัญญาเช่าอาคารพาณิชย์ เลขที่ 95/12-13 ถนนราชดำริ…แขวงลุมพินี เขตปทุมวันกรุงเทพมหานคร จากโจทก์รวม 2 คูหา มีกำหนด 12 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่1 พฤศจิกายน 2515 ครบกำหนดสัญญาเช่าวันที่ 1 พฤศจิกายน 2527 อัตราค่าเช่าคูหาละ 200 บาท ต่อมาเมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแล้วจำเลยยังคงอยู่ต่อมาโดยมิได้ทำสัญญาเช่าต่อกันอีก จึงเป็นการเช่าโดยไม่มีกำหนดเวลา โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยเช่าต่อไป จึงบอกเลิกสัญญาเช่าแก่จำเลย และแจ้งให้จำเลยส่งมอบอาคารตึกแถวที่เช่าคืนโจทก์ ให้ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากอาคารของโจทก์ภายในวันที่ 5 มีนาคม2527 จำเลยได้รับหนังสือบอกเลิกการเช่าแล้วแต่จำเลยไม่ยอมส่งมอบอาคารที่เช่าคืนโจทก์จึงเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ได้รับความเสียหาย หากโจทก์นำอาคารไปให้ผู้อื่นเช่าก็จะได้ค่าเช่าอย่างน้อยคูหาละ 30,000 บาท โจทก์คิดค่าเสียหายจากจำเลยจำนวน 2 คูหาเป็นเงิน 60,000 บาท ต่อเดือน นับแต่เดือนเมษายน 2528 ถึงวันฟ้องเป็นเวลา 2 เดือน เป็นเงินค่าเสียหาย 120,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากอาคารเลขที่ 95/12-13 ถนนราชดำริแขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร และส่งมอบคืนให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อยห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายนับแต่เดือนเมษายน 2528 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 120,000 บาท และใช้ค่าเสียหายเดือนละ 60,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะขนย้ายออกไปจากอาคารพิพาทและส่งมอบให้แก่โจทก์เสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าอาคารและใบตอบรับภายในประเทศเอกสารท้ายฟ้อง เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารปลอมที่โจทก์ทำขึ้นเองภายหลัง กล่าวคือหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าอาคารลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2528 แต่โจทก์นำส่งไปรษณีย์ในวันที่ 30มกราคม 2528 ซึ่งเป็นวันก่อนวันที่โจทก์ทำหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าอาคาร โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษาว่าให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากอาคารเลขที่ 95/12-13 ถนนราชดำริ แขวงลุมพินี เขตปทุมวันกรุงเทพมหานคร และส่งมอบคืนให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย และห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 40,000 บาทนับแต่เดือนเมษายน 2528 จนกว่าจะขนย้ายออกไปจากอาคารพิพาทและส่งมอบแก่โจทก์เสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2515 จำเลยทำสัญญาเช่าอาคารพาณิชย์เลขที่95/12-13 ถนนราชดำริ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 2 คูหามีกำหนด 12 ปี เริ่มแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2515 อัตราค่าเช่าคูหาละ 200 บาท (รวมค่าเช่าเดือนละ 400 บาท) จำเลยต้องชำระค่าเช่าล่วงหน้าให้แก่โจทก์ภายในวันที่ 5 ของเดือนที่เช่าทุกเดือนตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.4 ครั้นครบกำหนดสัญญาเช่าในวันที่ 1พฤศจิกายน 2527 จำเลยคงอยู่ในอาคารพิพาท คดีมีปัญหาว่าโจทก์มีหนังสือบอกเลิกการเช่าส่งไปถึงจำเลยโดยชอบแล้วหรือไม่ และมีอำนาจฟ้องจำเลยหรือไม่ ได้ความจากนายคมสัน สันติวราคม ผู้จัดการใหญ่ของโจทก์ และนายสมควร สุวรรณศิลป์ รองผู้จัดการใหญ่ของโจทก์พยานโจทก์ว่า โจทก์มีความประสงค์จะได้อาคารพิพาทคืนจึงมอบให้นายสมควรมีหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าตามเอกสารหมาย จ.5 ส่งทางไปรษณีย์ตอบรับจำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวเมื่อวันที่ 31 มกราคม2528 ตามใบตอบรับในประเทศเอกสารหมาย จ.6 จำเลยฎีกาว่าเอกสารหมาย จ.5ลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2528 แต่เอกสารหมาย จ.6 ลงวันรับหนังสือวันที่ 31 มกราคม 2528 จึงขัดกันไม่น่าเชื่อว่าโจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าส่งไปถึงจำเลยโดยชอบ ข้อนี้ได้ความจากนายสมควรว่า เหตุที่ส่งหนังสือก่อนวันที่ลงในหนังสือเอกสารหมาย จ.5 ก็เพื่อต้องการให้วันที่ลงในหนังสือตรงกับวันที่ครบกำหนดชำระค่าเช่าในเดือนต่อไป นอกจากนั้นการส่งหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าในเดือนมกราคม 2528 กระทำโดยการลงทะเบียนตอบรับมีลายมือชื่อเจ้าหน้าที่การสื่อสารแห่งประเทศไทย เชื่อว่ามีการส่งหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.5 ถึงจำเลยโดยลงวันที่ในเอกสารล่วงหน้าจริง เห็นว่า ใจความในเอกสารหมาย จ.5 แสดงความประสงค์ของโจทก์ว่าขอบอกเลิกสัญญาเช่าให้จำเลยออกจากอาคารพิพาทภายในวันที่5 มีนาคม 2528 เมื่อนับจากวันที่จำเลยรับหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าในวันที่ 31 มกราคม 2528 จนถึงวันเลิกสัญญาคือวันที่ 5 มีนาคม 2528เป็นเวลานานกว่า 1 เดือน จึงเป็นการบอกกล่าวแก่จำเลยให้รู้ตัวก่อนชั่วกำหนดเวลาชำระค่าเช่าระยะหนึ่งแล้ว การบอกเลิกสัญญาเช่าจึงเป็นไปโดยชอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 566 ประกอบมาตรา 570 ทั้งนับแต่วันที่จำเลยได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าถึงวันที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยนั้นเป็นเวลากว่า 4 เดือนแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง… คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหายก่อนฟ้องจำนวน 120,000 บาท จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ด้วยอัตราค่าทนายความขั้นสูงในศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาตามตาราง 6 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งไม่เกินจำนวนร้อยละ 3 ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้โจทก์จำนวน 20,000 บาทจึงเกินอัตราตามกฎหมาย สมควรแก้ให้ถูกต้อง โดยกำหนดให้ 2,000 บาท”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์จำนวน 2,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนโจทก์จำนวน 2,000 บาท.

Share