แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อข้อเท็จจริงฟังยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยมิได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ว่าโจทก์ทั้งสองจะซื้อที่ดินพิพาทมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตหรือไม่นั้นไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไปฎีกาของจำเลยในข้อนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองฟ้องที่สั่งให้จำเลยเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 8024 ตำบลท่าหิน (โพธิ์เก้าต้น) อำเภอเมืองลพบุรีจังหวัดลพบุรี ขอให้พิพากษาว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1123/2533 ไม่มีผลผูกพันโจทก์และมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินระงับการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลย และให้จำเลยกับบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินดังกล่าวและห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไป
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า10 ปีแล้ว จึงได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง และศาลมีคำสั่งว่าที่ดินตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งแปลงโดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว นางจิรามิได้ขายที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสองแต่สมคบกันทำสัญญาซื้อขายจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โดยมิได้มีเจตนาซื้อขายกันจริง โจทก์ทั้งสองจึงไม่อยู่ในฐานะบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิในที่ดินมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว ค่าเสียหายของโจทก์ทั้งสองไม่เกินเดือนละ 100 บาทขอให้ยกฟ้อง และพิพากษาว่าที่ดินตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครอง ห้ามโจทก์ทั้งสองเกี่ยวข้อง
ชั้นตรวจคำให้การและฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าฟ้องแย้งเป็นฟ้องช้ำ ให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองและจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1123/2533 ที่ว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยนั้นไม่มีผลผูกพันโจทก์ทั้งสอง ให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินพิพาทและห้ามเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทอีกต่อไปคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้เฉพาะในปัญหาที่ว่าโจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินพิพาทจากนางจิราโดยสุจริตหรือไม่ ส่วนปัญหาว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์หรือไม่นั้นไม่มีเหตุสมควรที่จะฎีกา ไม่รับรองให้ฎีกาและให้ยกคำร้องขอให้รับรองฎีกาในส่วนที่เกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรจะฎีกาในข้อเท็จจริงได้เฉพาะในปัญหาที่ว่าโจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินพิพาทมาโดยสุจริตหรือไม่เท่านั้น สำหรับปัญหาว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองหรือไม่ จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ว่าจำเลยมิได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ แต่เป็นการครอบครองแทนเจ้าของที่ดินพิพาทที่แท้จริงจำเลยจึงมิได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง ฉะนั้นฎีกาของจำเลยในปัญหาที่ว่าโจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินพิพาทมาจากนางจิราโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วหรือไม่ ผู้ที่จะยกข้อต่อสู้ดังกล่าวขึ้นอ้างได้นั้นจะต้องเป็นผู้ที่ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพย์สิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม กล่าวคือจำเลยจะต้องเป็นผู้ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองเสียก่อน เมื่อข้อเท็จจริงฟังยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วว่าจำเลยมิได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง ปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ว่าโจทก์ทั้งสองจะซื้อที่ดินพิพาทมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนโดยสุจริตหรือไม่นั้น ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไปฎีกาของจำเลยในข้อนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
พิพากษายกฎีกาของจำเลย