แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
อุทธรณ์ของจำเลยโต้เถียงว่าที่พิพาททั้งหมดมิใช่ทรัพย์มรดกหากข้อเท็จจริงเป็นดังที่จำเลยอุทธรณ์จำเลยย่อมได้รับผลตามข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งคดีจึงเป็นคดีที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ตามราคาทรัพย์พิพาทคือ54,000บาทโดยไม่แยกทุนทรัพย์ตามที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้องเมื่อที่พิพาทมีราคาเกินกว่าห้าหมื่นบาทจึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์ทั้งสามมีสิทธิครอบครองที่พิพาทตามส่วนของตนตามแผนที่พิพาทเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 ให้จำเลยจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 1553(ที่ถูกเป็น 2553) ตำบลดอนมัน อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมาให้โจทก์ทั้งสามตามส่วนภายใน 30 วัน นับแต่คดีถึงที่สุด หากไม่ไปขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอแบ่งที่พิพาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 3มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทตามส่วนของตนที่ได้รับส่วนแบ่งตามแผนที่พิพาทเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 ให้จำเลยจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 1553 (ที่ถูกเป็น 2553) ตำบลดอนมันอำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา ให้โจทก์ทั้งสามตามส่วนภายใน 30 วัน นับแต่คดีถึงที่สุด หากไม่ไป ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษายก อุทธรณ์ จำเลย
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่พิพาทเป็นของนายดำ กิ่งคำ นายดำมิได้ยกที่พิพาทให้แก่นางหนู กิ่งคำมารดาจำเลย เพียงแต่มอบที่พิพาทให้นางหนูยึดถือไว้และครอบครองแทนจนกระทั่งนางหนูถึงแก่กรรมเท่านั้น นางหนูไม่ได้สิทธิครอบครองในที่พิพาท และเมื่อปี 2521 ได้มีการแบ่งที่พิพาทออกเป็น 4 แปลง ตามแผนที่พิพาทเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2โจทก์ทั้งสามต่างเข้าครอบครองตามส่วนของตนแล้ว จำเลยจึงต้องจดทะเบียนแบ่งแยกที่พิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสามตามส่วน คิดเป็นที่ดินรวมกันเนื้อที่ 18 ไร่ 80 ตารางวา ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2553 ตำบลดอนมัน อำเภอประทายจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งโจทก์ตีราคามาในคำฟ้องเป็นเงิน 54,000 บาทจำเลยอุทธรณ์ว่า ที่พิพาททั้งหมดเป็นของนางหนูมารดาจำเลยโดยนางหนูได้รับที่พิพาทมาจากนายดำบิดาในฐานะเป็นผู้ดูแลเลี้ยงดูจนกระทั่งนายดำถึงแก่กรรมและนางหนูได้ครอบครองทำประโยชน์เพื่อตนตลอดมาจนถึงแก่กรรม เมื่อนางหนูถึงแก่กรรมแล้วจำเลยได้ครอบครองตลอดมาจนปัจจุบัน ขอให้ยกฟ้อง ดังนี้อุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวเป็นการโต้เถียงว่าที่พิพาททั้งหมดมิใช่ทรัพย์มรดก หากข้อเท็จจริงเป็นดังที่จำเลยอุทธรณ์ จำเลยย่อมได้รับผลตามข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งคดี จึงเป็นคดีที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ตามราคาทรัพย์พิพาทคือ 54,000 บาท โดยไม่แยกทุนทรัพย์ตามที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้อง เมื่อที่พิพาทมีราคาเกินกว่าห้าหมื่นบาท จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาใหม่ตามรูปคดี