คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3551/2543

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ทางภารจำยอมและบริษัท ท. เป็นนิติบุคคลต้องมีผู้แทนดำเนินกิจการ จำเลยที่ 1 เป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทจึงอยู่ในฐานะเป็นผู้แทนของบริษัทในการประกอบกิจการ การที่จำเลยทั้งสองยอมให้รถยนต์ของบริษัทและรถยนต์ของผู้มาติดต่อธุรกิจกับบริษัทจอด ในทางภารจำยอมซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสองในลักษณะปิดกั้น หรือกีดขวางการใช้ทางดังกล่าวเข้าออกทำให้เกิดความไม่สะดวกในการใช้ทางภารจำยอมย่อมเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมลดไปหรือ เสื่อมความสะดวกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1390
โจทก์ใช้รถยนต์ผ่านทางภารจำยอมซึ่งเดิมเคยใช้เป็นทางเดินเท้าย่อมเป็นการใช้ทางภารจำยอมสัญจรตามปกติ ไม่เป็นการทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1388
เจ้าของที่ดินอันเป็นสามยทรัพย์ย่อมมีสิทธิใช้รถยนต์เข้าออกทางภารจำยอมโดยเสมอหน้ากัน ขึ้นอยู่กับความจำเป็นเพื่อประโยชน์ของเจ้าของสามยทรัพย์นั้น มิได้ขึ้นอยู่กับจำนวนรถยนต์ที่ใช้ว่ามี จำนวนมากหรือน้อย เหตุนี้การใช้รถยนต์เข้าออกเป็นจำนวน 200 คัน ผ่านทางภารจำยอม หากโจทก์ผู้เป็นเจ้าของสามยทรัพย์ยังดูแลรักษา ทางภารจำยอมมิให้เกิดความเสียหาย ก็ถือได้ว่าโจทก์มิได้ทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ทางภารจำยอมนั้น
โจทก์ขอให้การไฟฟ้านครหลวงดำเนินการเพื่อแทนเสาไฟฟ้าเดิมซึ่งเป็นไปตามความเปลี่ยนแปลงและความเจริญของบ้านเมือง ไม่ทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ โจทก์ย่อมมีสิทธิปักเสาไฟฟ้าดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 2256 และ 2257อันเป็นสามยทรัพย์ของที่ดินโฉนดเลขที่ 1205 จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 1205 โดยนายซี กิมฮะ หรือนายกร จาตุรจินดา เจ้าของที่ดินเดิมเป็นผู้จดทะเบียนให้ที่ดินตกอยู่ในภารจำยอม จำเลยทั้งสองกระทำการรบกวนการครอบครองใช้ประโยชน์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 1205 อันเป็นภารยทรัพย์ซึ่งทำให้ภารจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวกตั้งแต่ปี 2534 โดยจำเลยทั้งสองได้นำรถยนต์หรือยอมให้ผู้อื่นนำรถยนต์มาจอดในที่ดินโฉนดเลขที่ 1205 ในลักษณะที่ปิดบังและขวางทางเข้าออกของโจทก์หรือของรถยนต์หรือบุคคลที่อยู่อาศัยอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 2256 และ 2257 ซึ่งเป็นสามยทรัพย์และจำเป็นจะต้องใช้ที่ดินโฉนดเลขที่ 1205 เป็นทางออกไปสู่ถนนศรีอยุธยาโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองยุติการกระทำดังกล่าวแล้ว แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้ห้ามจำเลยทั้งสองนำรถยนต์ของจำเลยทั้งสองหรือยอมให้บุคคลอื่นนำรถยนต์เข้าจอดในที่ดินโฉนดเลขที่ 1205 ซึ่งเป็นทางออกไปสู่ถนนศรีอยุธยา

จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า นายกร จาตุรจินดา จดทะเบียนให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 1205 ตกอยู่ในภารจำยอมเป็นทางเดิน มิใช่เป็นทางที่จะใช้รถยนต์เข้าออกได้ จำเลยทั้งสองไม่เคยปิดกั้นหรือขัดขวางมิให้โจทก์เดินผ่านเข้าออกสู่ถนนศรีอยุธยา จำเลยทั้งสองยังไม่ได้กระทำการอันใดที่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองไม่เคยกระทำการรบกวนการใช้ประโยชน์ในภารยทรัพย์หรือทำให้ภารจำยอมลดลงหรือเสื่อมความสะดวก นอกจากโจทก์จะเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 2256 และ 2257 แล้วโจทก์ยังเป็นเจ้าของที่ดินแปลงอื่นอีกโจทก์ก่อสร้างตึกมีความสูง 18 ชั้น มีห้องให้เช่าและขายเป็นสำนักงานหรืออยู่อาศัยหลายร้อยห้อง โจทก์นำรถยนต์ของโจทก์และยินยอมให้ผู้อยู่อาศัยนำรถยนต์ผ่านเข้าออกสู่ถนนศรีอยุธยา โดยใช้ถนนภารจำยอมของจำเลยทั้งสอง การกระทำของโจทก์จึงเป็นการเพิ่มภาระแก่ภารยทรัพย์ เมื่อประมาณเดือนมกราคม 2537 โจทก์เทคอนกรีตลงบนถนนภารจำยอมของจำเลยทั้งสองในบริเวณหน้าที่ดินโฉนดเลขที่ 2256 และ 2257 โดยโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินสามยทรัพย์ไม่เคยบอกกล่าวหรือขออนุญาตจากจำเลยทั้งสอง ทำให้จำเลยทั้งสองได้รับความเสียหาย และเมื่อประมาณปี 2535 โจทก์ให้การไฟฟ้านครหลวงปักเสาไฟฟ้าขนาดใหญ่จำนวน 2 ต้น ลงบนถนนภารจำยอม โดยไม่เคยบอกกล่าวหรือขออนุญาตจากจำเลยทั้งสองเป็นการเปลี่ยนแปลงภารยทรัพย์ อันทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ขอให้ยกฟ้องโจทก์ กับให้ห้ามโจทก์ใช้รถยนต์ผ่านเข้าออกในถนนภารจำยอมโฉนดที่ดินเลขที่ 1205 และห้ามมิให้บุคคลที่อยู่อาศัยหรือครอบครองที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 2256 และ 2257 และที่ดินตามโฉนดแปลงอื่นเดินหรือใช้รถยนต์ผ่านเข้าออก โดยใช้ถนนภารจำยอมของจำเลยทั้งสอง ให้โจทก์รื้อถอนถนนคอนกรีตที่โจทก์ได้เทคอนกรีตยกระดับออกและทำให้ถนนภารจำยอมกลับอยู่ในสภาพเดิมและให้โจทก์ดำเนินการรื้อถอนเสาไฟฟ้าจำนวน 2 ต้น ที่ปักในถนนภารจำยอมออก หากโจทก์ไม่ดำเนินการให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนและเสาไฟฟ้าได้ โดยให้โจทก์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสอง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้รถยนต์ผ่านทางภารจำยอมได้วันละไม่เกิน 10 คัน ให้โจทก์รื้อถอนเสาไฟฟ้าในทางภารจำยอมบริเวณด้านหน้าที่ดินโจทก์จำนวน 2 ต้นตามหมาย ล.18 ด้านซึ่งติดกับทางภารจำยอม หากโจทก์ไม่ดำเนินการรื้อถอนให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้รื้อถอนโดยให้โจทก์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ห้ามจำเลยทั้งสองนำรถยนต์ของจำเลยทั้งสองหรือยอมให้บุคคลอื่นนำรถยนต์เข้าจอดปิดกั้นหรือกีดขวางการใช้ภารจำยอมของโจทก์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 1205 ให้ยกคำขอตามฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองที่ห้ามโจทก์ใช้รถยนต์ผ่านเข้าออกที่ดินโฉนดเลขที่ 1205ดังกล่าว และยกคำขอที่ให้โจทก์รื้อถอนเสาไฟฟ้าจำนวน 2 ต้น ในที่ดินโฉนดดังกล่าวด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

จำเลยทั้งสองฎีกา

ระหว่างสืบพยานจำเลยทั้งสอง คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริง โจทก์จำเลยทั้งสองแถลงรับว่า จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 1205ซึ่งมีทางออกสู่ถนนศรีอยุธยากว้างตลอดสายประมาณ 5.40 เมตร ด้านซ้ายของถนนมีเสาไฟฟ้า 13 ต้น เสาไฟฟ้าบริเวณหน้าบริษัทโจทก์อยู่ในที่ดินภารจำยอม เป็นเสาไฟฟ้าที่โจทก์ปักใหม่ เมื่อปี 2533, 2534 และ 2536โจทก์แถลงว่า เดิมเสาไฟฟ้าทำด้วยปูนซิเมนต์ สาเหตุที่เปลี่ยนเสาไฟฟ้าใหม่ในตำแหน่งเดิม เพราะโจทก์ก่อสร้างตึก 18 ชั้น ในที่ดินของโจทก์ต้องใช้ปริมาณไฟฟ้าที่มากขึ้นและใช้หม้อแปลงที่ใหญ่ขึ้น เสาไฟฟ้าเดิมไม่แข็งแรงโจทก์เทคอนกรีตในที่ดินภารจำยอมบริเวณหน้าบริษัทโจทก์จากรั้วที่ดินโจทก์ถึงรั้วที่ดินจำเลยทั้งสอง และคู่ความแถลงรับกันว่า ภาพถนนก่อนเทคอนกรีตตามภาพถ่ายหมาย ล.8 ภาพที่ 2 ต่อมาโจทก์เอาทรายมาเททับตามภาพถ่ายหมาย ล.8 ภาพที่ 1 ล.9 ภาพที่ 3 ที่ 4 ล.10 ภาพที่ 5 ที่ 6แล้วโจทก์เททับด้วยคอนกรีตสูงประมาณ 10 เซนติเมตร โดยไม่แจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบ โจทก์เป็นเจ้าของตึก 18 ชั้น มีทางออกสู่ถนนสาธารณะ2 ทาง คือทางภารจำยอมและซอยรางน้ำ ซึ่งจะต้องผ่านที่ดินส่วนตัวของกรรมการบริษัทโจทก์ ส่วนจำเลยทั้งสองใช้ทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะด้านถนนศรีอยุธยาทางเดียว ที่ดินโฉนดเลขที่ 1025 จดทะเบียนภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ ตามเอกสารหมาย จ.2 ระบุว่าโจทก์มีสิทธิใช้ที่ดินภารจำยอมเป็นทางเดินไปออกถนนศรีอยุธยา โจทก์แถลงว่าเหตุที่โจทก์ฟ้องคดีเพราะมีการจอดรถยนต์กีดขวางตามภาพถ่ายหมาย จ.7 จำนวน 21 ภาพ ทำให้รถยนต์ของโจทก์ออกสู่ถนนศรีอยุธยาไม่ได้ โจทก์เคยแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจ ตามเอกสารหมาย จ.6 รถยนต์ที่จอดขวางเป็นรถยนต์ที่มีตราทูริสโม่ (ไทย) จำกัด ซึ่งจำเลยเป็นเจ้าของกิจการจำเลยทั้งสองแถลงว่าตามที่โจทก์ฟ้องอ้างว่ามีการจอดรถยนต์กีดขวางตามภาพถ่ายหมาย จ.7 นั้น เนื่องจากขณะนั้นโจทก์ยังก่อสร้างอาคาร 18 ชั้น ไม่แล้วเสร็จ โจทก์ปิดกั้นหน้าบริษัทไม่ใช้รถยนต์เข้าออก ในวันที่ถ่ายภาพบุคคลภายนอกผู้มาติดต่อกับจำเลยที่ 1 นำรถยนต์มาจอดในที่ดังกล่าวโดยจำเลยทั้งสองไม่ได้สั่งการหลังจากที่โจทก์เปิดดำเนินกิจการแล้ว จำเลยห้ามจอดรถยนต์ขวางทางภารจำยอม ปัจจุบันไม่มีรถยนต์จอดกีดขวางตามภาพถ่ายหมาย จ.7 รถยนต์ที่จอดขวางตามภาพถ่ายหมาย จ.7 เป็นรถยนต์ที่มารับจ้างบริษัททูริสโม่ (ไทย) จำกัด เพื่อรับชาวต่างชาติ รถยนต์ดังกล่าวไม่ใช่รถยนต์ของบริษัททูริสโม่ (ไทย) จำกัด จำเลยทั้งสองแจ้งความร้องทุกข์ที่โจทก์เอาคอนกรีตมาเทบนถนนภารจำยอมโดยไม่ได้รับอนุญาตตามเอกสารหมาย ล.11

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นประเด็นแรกว่า จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าของภารยทรัพย์ประกอบกรรมใด ๆอันจะเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวกหรือไม่จำเลยทั้งสองโต้แย้งว่า จำเลยทั้งสองกับบริษัททูริสโม่ (ไทย) จำกัด เป็นบุคคลคนละคนกัน จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดชอบ การกระทำของบริษัททูริสโม่(ไทย) จำกัด นั้น เห็นว่า จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ทางภารจำยอมและบริษัททูริสโม่ (ไทย) จำกัด เป็นนิติบุคคล ต้องมีผู้แทนดำเนินกิจการความประสงค์ของนิติบุคคลย่อมแสดงออกโดยผู้แทนของนิติบุคคลนั้นเองเมื่อจำเลยทั้งสองนำสืบยอมรับว่า จำเลยที่ 1 เป็นกรรมการผู้จัดการบริษัททูริสโม่ (ไทย) จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 2258 อันเป็นของจำเลยที่ 1และเป็นที่ดินสามยทรัพย์อยู่ด้วย จำเลยที่ 1 จึงอยู่ในฐานะเป็นผู้แทนของบริษัทในการประกอบกิจการท่องเที่ยว การที่จำเลยทั้งสองยอมให้รถยนต์ของบริษัท และรถยนต์ของผู้มาติดต่อธุรกิจกับบริษัทจอดในทางภารจำยอมซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสองในลักษณะปิดกั้นหรือกีดขวางการใช้ทางดังกล่าวเข้าออก ทำให้เกิดความไม่สะดวกในการใช้ทางภารจำยอมย่อมเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1390 โจทก์จึงมีสิทธิห้ามจำเลยทั้งสองประกอบกรรมดังกล่าวได้

จำเลยทั้งสองฎีกาประการต่อไปว่า เจตนาของเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 2256 ถึง 2258 เดิม ประสงค์ที่จะจดทะเบียนเป็นทางเดินเท้าเท่านั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้เป็นทางเดินสำหรับรถยนต์และยานพาหนะด้วยจึงไม่ชอบด้วยเหตุผลนั้น เห็นว่า จริงอยู่แม้ในคำขอจดทะเบียนทางเดินตามเอกสารหมาย จ.2 จะระบุว่า “ยินยอมให้ผู้ถือกรรมสิทธิ์และผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ของที่ดินโฉนดที่ 2256-2257-2258-2259 ต่อไปภายหน้ามีสิทธิใช้ที่ดินแปลงนี้ทั้งแปลงเป็นทางเดินไปออกถนนศรีอยุธยาได้” ก็ตามเมื่อเหตุการณ์ของบ้านเมืองและวิถีชีวิตของผู้คนเปลี่ยนแปลง ในปัจจุบันมีการสัญจรตามถนนและตรอกซอยด้วยรถยนต์เป็นปกติธรรมดาเช่นเดียวกับการเดินเท้า ดังจะเห็นได้จากจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าของสามยทรัพย์อยู่ด้วยก็ใช้รถยนต์ของตนเองและของบริษัทที่จำเลยที่ 1 เป็นกรรมการผู้จัดการในทางภารจำยอมนี้เช่นกัน ดังนั้น การที่โจทก์ใช้รถยนต์ผ่านทางภารจำยอมซึ่งเดิมเคยใช้เป็นทางเดินเท้าย่อมเป็นการใช้ทางภารจำยอมสัญจรตามปกติไม่เป็นการทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1388 ส่วนที่จำเลยทั้งสองโต้แย้งว่า เดิมเคยมีรถยนต์เข้าออกใช้ทางภารจำยอมเพียงวันละ 2 คัน ต่อมาเปลี่ยนแปลงเป็นวันละ200 คัน ทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์นั้น เห็นว่า เจ้าของที่ดินอันเป็นสามยทรัพย์ทั้งสี่แปลงย่อมมีสิทธิใช้รถยนต์เข้าออกทางภารจำยอมโดยเสมอหน้ากัน ขึ้นอยู่กับความจำเป็นเพื่อประโยชน์ของเจ้าของสามยทรัพย์นั้นมิได้ขึ้นอยู่กับจำนวนรถยนต์ที่ใช้ว่ามีจำนวนมากหรือน้อยเหตุนี้การใช้รถยนต์เข้าออกเป็นจำนวน 200 คัน ผ่านทางภารจำยอมหากโจทก์ผู้เป็นเจ้าของสามยทรัพย์ยังดูแลรักษาทางภารจำยอมมิให้เกิดความเสียหายก็ถือได้ว่าโจทก์มิได้ทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ทางภารจำยอมนั้น

จำเลยทั้งสองฎีกาเป็นประการสุดท้ายว่า เสาไฟฟ้าสองต้นที่โจทก์ปักลงในทางภารจำยอมเป็นการเปลี่ยนแปลงภารยทรัพย์ทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์หรือไม่ ข้อนี้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงจากที่คู่ความทั้งสองฝ่ายรับกันว่าเดิมทางภารจำยอมมีเสาไฟฟ้าปักและพาดสายไฟฟ้าอยู่ก่อนแล้วอย่างไรก็ตามเหตุที่มีการเปลี่ยนแปลงเสาไฟฟ้าก็รับฟังได้แน่ชัดว่าเสาไฟฟ้าที่จำเลยทั้งสองขอให้รื้อถอนเป็นเสาไฟฟ้าถาวรที่โจทก์ขอให้การไฟฟ้านครหลวงดำเนินการเพื่อแทนเสาไฟฟ้าเดิม ซึ่งเป็นไปตามความเปลี่ยนแปลงและความเจริญของบ้านเมือง หาได้ทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ไม่ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้โจทก์มีสิทธิปักเสาไฟฟ้าทั้งสองต้นนั้นชอบแล้ว”

พิพากษายืน

Share