แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ทัณฑสถานวัยหนุ่มกลางจะเป็นภูมิลำเนาของจำเลยในขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 47 และถือได้ว่าจำเลยมีที่อยู่ในเขตอำนาจศาลชั้นต้น (ศาลจังหวัดธัญบุรี) ตามที่ ป.วิ.อ. มาตรา 22 (1) บัญญัติไว้ แต่ตามบทบัญญัติดังกล่าวมิได้บังคับให้ศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลท้องที่ที่จำเลยมีที่อยู่ในเขตอำนาจต้องรับคดีที่โจทก์ฟ้อง หากแต่บัญญัติให้อยู่ในดุลพินิจของศาลชั้นต้นที่รับชำระคดีในกรณีเช่นว่านั้นหรือไม่ก็ได้ ประกอบกับความผิดคดีนี้เกิดขึ้นในท้องที่ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดแม่สอด ทั้งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอแม่สอดได้ทำการสอบสวนคดีนี้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าหากมีการชำระคดีที่ศาลชั้นต้น (ศาลจังหวัดธัญบุรี) จะเป็นการสะดวกยิ่งกว่าการชำระคดีที่ศาลจังหวัดแม่สอดซึ่งเป็นศาลท้องที่ที่ความผิดคดีนี้เกิดขึ้นอย่างไร ส่วนที่โจทก์อ้างว่ากรมราชทัณฑ์ไม่อนุญาตให้ย้ายจำเลยไปคุมขังที่เรือนจำจังหวัดแม่สอด เป็นเพียงข้อขัดข้องในทางปฏิบัติเท่านั้น จึงไม่มีเหตุสมควรให้ศาลชั้นต้น (ศาลจังหวัดธัญบุรี) รับชำระคดีนี้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2535 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยกับพวกอีก 2 คน ร่วมกันปล้นเงิน 20,000 บาท ของนายนเรศ ทวีเกื้อกูลกิจ และนางเพ็ญพรรณ ทวีเกื้อกูลกิจ ผู้เสียหายโดยใช้มีดปลายแหลมเป็นอาวุธแทงที่ลำคอและลำตัวของนางเพ็ญพรรณหลายแห่งโดยมีเจตนาฆ่าอย่างทารุณโหดร้าย เป็นเหตุให้นางเพ็ญพรรณถึงแก่ความตาย และจำเลยกับพวกยังร่วมกันใช้มีดปลายแหลมเป็นอาวุธแทงเด็กหญิงพรรณวดี ทวีเกื้อกูลกิจ ที่ลำคอและลำตัวอันเป็นอวัยวะสำคัญหลายแห่งโดยมีเจตนาฆ่า แต่เด็กหญิงพรรณวดีไม่ถึงแก่ความตายเนื่องจากแพทย์รักษาได้ทัน ทั้งนี้เพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์และการพาทรัพย์นั้นไป เหตุเกิดที่ตำบลแม่สอด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เจ้าพนักงานยึดหมวกกันหนาวกับมีดปลายแหลม 2 เล่ม ที่จำเลยกับพวกใช้ในการกระทำความผิดไว้เป็นของกลาง ขณะฟ้องคดีนี้จำเลยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4167/2537 ของศาลจังหวัดแม่สอด ให้จำคุก 33 ปี 4 เดือน และถูกจำคุกในคดีดังกล่าวอยู่ที่ทัณฑสถานวัยหนุ่มกลางจังหวัดปทุมธานี ภูมิลำเนาของจำเลยจึงอยู่ในเขตอำนาจศาลชั้นต้น (ศาลจังหวัดธัญบุรี) ขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 289, 340, 340 ตรี, 80, 83, 33 ริบของกลาง ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 20,000 บาท แก่ผู้เสียหาย และนับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีดังกล่าว
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วมีคำสั่งว่า ความผิดเกิดขึ้น อ้างหรือเชื่อว่าเกิดขึ้นในเขตอำนาจของศาลจังหวัดแม่สอด อีกทั้งมีการสอบสวนในท้องที่นั้นด้วย จึงไม่รับฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 22 วรรคแรก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้น (ศาลจังหวัดธัญบุรี) จำเลยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4167/2537 ของศาลจังหวัดแม่สอด ให้จำคุก 33 ปี 4 เดือน และถูกจำคุกในคดีดังกล่าวอยู่ที่ทัณฑสถานวัยหนุ่มกลางอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่ามีเหตุสมควรให้ศาลชั้นต้น (ศาลจังหวัดธัญบุรี) ชำระคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า แม้ทัณฑสถานวัยหนุ่มกลางจะเป็นภูมิลำเนาของจำเลยในขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ตามนัยแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 47 และถือได้ว่าจำเลยมีที่อยู่ในเขตอำนาจศาลชั้นต้น (ศาลจังหวัดธัญบุรี) ตามที่ ป.วิ.อ. มาตรา 22 (1) บัญญัติไว้ก็ตาม แต่ตามบทบัญญัติดังกล่าวมิได้บังคับให้ศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลท้องที่ที่จำเลยมีที่อยู่ในเขตอำนาจต้องรับชำระคดีที่โจทก์ฟ้อง หากแต่บัญญัติให้อยู่ในดุลพินิจของศาลชั้นต้นที่จะรับชำระคดีในกรณีเช่นว่านั้นหรือไม่ก็ได้ ประกอบกับความผิดคดีนี้เกิดขึ้นในท้องที่ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดแม่สอด ทั้งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอแม่สอดได้ทำการสอบสวนคดีนี้แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า หากมีการชำระคดีที่ศาลชั้นต้น (ศาลจังหวัดธัญบุรี) จะเป็นการสะดวกยิ่งกว่าการชำระคดีที่ศาลจังหวัดแม่สอดซึ่งเป็นศาลท้องที่ที่ความผิดคดีนี้เกิดขึ้นอย่างไร ส่วนที่โจทก์อ้างว่ากรมราชทัณฑ์ไม่อนุญาตให้ย้ายจำเลยไปคุมขังที่เรือนจำจังหวัดแม่สอดนั้น เป็นเพียงข้อขัดข้องในทางปฏิบัติเท่านั้น จึงไม่มีเหตุสมควรให้ศาลชั้นต้น (ศาลจังหวัดธัญบุรี) รับชำระคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้นต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.