คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3550/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทำสัญญาให้เช่าตึกแถวมีกำหนด 18 ปี ได้รับเงินกินเปล่า จำนวนหนึ่ง ได้เฉลี่ยเงินกินเปล่าตามส่วนแบ่งจำนวนปีของอายุการเช่าตามประกาศของกระทรวงการคลังซึ่งออกมาเพื่อแบ่งเบาภาระของผู้เสียภาษีประการหนึ่งและเปิดโอกาสให้ประชาชนผู้มีเงินได้จัดการเสียภาษีโดยถูกต้องตามกฎหมายไม่ปิดบังประการหนึ่ง แล้วนำเงินเฉลี่ยดังกล่าวไปคำนวณเป็นเงินได้สุทธิของโจทก์เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นรายปีมา 2 ปีแล้ว แสดงว่าเจ้าพนักงานประเมินของกรมสรรพากรจำเลยที่1 อนุญาตให้โจทก์ยื่นรายการเงินได้เพื่อเสียภาษีตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องผู้มีเงินได้จากการให้เช่าไม่ยื่นรายการเงินได้ให้ครบถ้วนแล้ว การที่จำเลยที่ 1 และเจ้าพนักงานประเมินจำเลยที่ 2 จะอาศัยอำนาจ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 18 ทวิ มาบังคับโจทก์โดยประเมินเรียกเก็บ ภาษีโจทก์ล่วงหน้าก่อนถึงกำหนดเวลายื่นรายการเงินได้โดยอ้างว่าโจทก์มีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่มีความแน่นอนว่าจะสิ้นสภาพนิติบุคคลหรือเลิกประกอบกิจการเมื่อใดและจะมีความสามารในการเสียภาษีอากรตลอดไปหรือไม่เพราะระยะเวลาการเสียภาษีตามอายุสัญญาเช่านานถึง 16 ปี ไม่มีหลักประกันแน่นอนเกี่ยวกับภาระหน้าที่ของโจทก์ในการเสียภาษี กรณีเช่นนี้ ไม่ถือว่าเป็นกรณีจำเป็นเพื่อรักษาประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีอากรตามมาตรา 18 ทวิ เจ้าพนักงานประเมินไม่มีอำนาจเรียกเก็บภาษีก่อนถึงกำหนดเวลายื่นรายการได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้ทำสัญญาให้เช่าตึกแถวมีกำหนด ๑๘ ปี ได้รับเงินกินเปล่ามาจำนวนหนึ่งซึ่งโจทก์ได้เฉลี่ยเงินกินเปล่าตามส่วนแห่งจำนวนปีของอายุการเช่าตามประกาศของกระทรวงการคลังแล้วนำเงินเฉลี่ยดังกล่าวไปคำนวณเป็นเงินได้สุทธิของโจทก์เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลมาเป็นเวลา ๒ ปี ต่อมาจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ได้ประเมินสั่งให้โจทก์เสียภาษีนิติบุคคลล่วงหน้า ๑๖ ปี โจทก์ได้อุทธรณ์ต่อ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ จึงขอให้ศาลพิพากษาว่าการประเมินและคำสั่งให้เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลของจำเลยไม่ชอบด้วยประมวลรัษฎากร ให้ยกเลิกการประเมินและเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว
จำเลยทั้งสี่ให้การว่าการประเมินของเจ้าพนักงานและคำสั่งของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้ว ขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกเลิกการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ตามฟ้อง
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๑ โจทก์ได้ทำสัญญาให้เช่าตึกแถวมีกำหนด ๑๘ ปี นับแต่วันทำสัญญาเช่าเป็นต้นไป ซึ่งโจทก์ได้รับเงินกินเปล่าเป็นเงิน ๙,๒๔๗,๗๘๒ บาท ได้เฉลี่ยเงินกินเปล่าตามส่วนแบ่งจำนวนปีของอายุการเช่าโดยเฉลี่ยเป็นปีละ ๕๑๓,๗๖๕ บาท ๖๖ สตางค์ แล้วนำเงินเฉลี่ยดังกล่าวไปคำนวณเป็นเงินได้สุทธิของโจทก์เพื่อเสียภาษีเป็นรายปี ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง “ผู้มีเงินได้จากการให้เช่าทรัพย์ไม่ยื่นรายการเงินได้ให้ครบถ้วน” ลงวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๔๙๙ (เอกสารหมาย จ.๑) และได้เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลของโจทก์มาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๒ ต่อมาวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๒๔ จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ได้ประเมินสั่งให้โจทก์เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลล่วงหน้า ๑๖ ปี สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๓๙ ให้โจทก์ชำระครั้งเดียวเป็นเงิน ๑,๑๖๗,๑๑๕ บาท ๒๐ สตางค์ โดยอาศัยอำนาจตามประมวลรัษฎากรมาตรา ๑๘ ทวิ และมติที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ (กพอ.) ลงวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๒๒ โจทก์เห็นว่า การประเมินดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงได้อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการดังกล่าวพิจารณาแล้ววินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์
คดีคงมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การประเมินภาษีและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ตามฟ้องชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยจำเลยทั้งสี่ฎีกาว่า แม้ว่าประกาศกระทรวงการคลังตามเอกสารหมาย จ.๑ จะให้สิทธิโจทก์ยื่นรายการเงินได้จากเงินกินเปล่าโดยเฉลี่ยเงินกินเปล่าที่ได้รับเป็นรายปีตามอายุของการเช่าเพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระของผู้เสียภาษีก็ตาม แต่ประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๘ ทวิ ก็ให้อำนาจเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ ๑ ที่จะเรียกเก็บภาษีก่อนกำหนดเวลายื่นรายการได้ในกรณีจำเป็นเพื่อรักษาประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีอากร และโจทก์มีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่มีความแน่นอนว่าจะสิ้นสภาพนิติบุคคลหรือเลิกประกอบกิจการเมื่อใด และจะมีความสามารถในการเสียภาษีอากรตลอดไปหรือไม่ในระยะที่ยาวนานถึง ๑๖ ปี การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์จึงชอบด้วยกฎหมาย พิเคราะห์แล้ว ประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๘ ทวิ ซึ่งตราขึ้นโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๑๒) พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓ บัญญัติว่า “ในกรณีจำเป็นเพื่อรักษาประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีอากรเจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจที่จะประเมินเรียกเก็บภาษีจากผู้ต้องเสียภาษีก่อนถึงเวลายื่นรายการได้ เมื่อได้ประเมินแล้วให้แจ้งจำนวนภาษีที่ต้องเสียไปยังผู้ต้องเสียภาษีและให้ผู้ต้องเสียภาษีชำระภาษีภายในเจ็ดวัน นับแต่วันได้รับการประเมิน ในกรณีนี้จะอุทธรณ์การประเมินก็ได้ ฯลฯ” ต่อมามีประกาศกระทรวงการคลังเรื่องผู้มีเงินได้จากการให้เช่าทรัพย์สินไม่ยื่นรายการเงินได้ให้ครบถ้วน ลงวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๔๙๙ ระบุว่า “ฯลฯ” สำหรับผู้ให้เช่าที่ได้รับเงินกินเปล่า เงินแป๊ะเจี๊ยะ เงินค่าปลูกสร้าง เงินค่าซ่อมแซม หรือได้รับกรรมสิทธิ์ในอาคารหรือโรงเรือนดังกล่าวแล้วนั้น ส่วนมากผู้ให้เช่าจะต้องยอมให้ผู้เช่าได้เช่าอาคารหรือโรงเรือนเป็นระยะนานเช่น ๓ ปี ๕ ปี หรือ ๘ ปี เป็นต้น ซึ่งถ้าผู้ให้เช่าจะต้องรับภาระเสียภาษีเงินได้จากจำนวนเงินกินเปล่า เงินแป๊ะเจี๊ยะ เงินค่าปลูกสร้าง เงินค่าซ่อมแซมหรือค่าแห่งอาคารหรือโรงเรือนที่ได้รับกรรมสิทธิ์นั้นทั้งหมดในปีเดียวกับที่ได้รับเงินหรือประโยชน์ดังกล่าวแล้วก็ย่อมจะเป็นภาระหนักแก่ผู้ให้เช่ามิใช่น้อย ในข้อนี้กรมสรรพากรรายงานว่า ผู้เสียภาษีบางรายขอเสนอตัวเองที่จะเสียภาษีให้ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ต้องขอความเห็นใจจากทางราชการที่จะคำนวณภาษีเฉลี่ยเป็นรายปีตามอายุสัญญาเช่า อันจะเป็นการแบ่งเบาภาระของผู้เสียภาษีประการหนึ่ง และเปิดโอกาสให้ประชาชนผู้มีเงินได้ได้ปฏิบัติการเสียภาษีโดยถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ปิดบังอีกประการหนึ่ง กระทรวงการคลังจึงขอวางหลักการไว้ว่า การเสียภาษีในกรณีเกี่ยวกับเรื่องนี้ กระทรวงการคลังยอมให้ผู้ให้เช่าเฉลี่ยเงินกินเปล่า เงินแป๊ะเจี๊ยะ เงินค่าปลูกสร้าง เงินค่าซ่อมแซม และค่าแห่งอาคารหรือโรงเรือนที่ได้รับกรรมสิทธิ์นั้นตามส่วนแห่งจำนวนปีของอายุการเช่า เช่น ผู้ให้เช่าได้รับเงินกินเปล่าในการให้เช่าห้อง ๓๐,๐๐๐ บาท แต่ผู้ให้เช่าต้องผูกพันให้เช่าอยู่มีกำหนดเวลา ๓ ปี ดังนี้ ให้เฉลี่ยเงิน ๓๐,๐๐๐ บาทนั้นออกเป็น ๓ ปี ตามอายุสัญญาเช่าและให้ผู้ให้เช่ามีหน้าที่ต้องยื่นรายการเงินได้จากเงินกินเปล่านี้ปีละ ๑๐,๐๐๐ บาทรวม ๓ ปีหมด การวางหลักการดังนี้ กระทรวงการคลังหวังว่า ผู้ให้เช่าทั้งหลายคงจะพึงพอใจและปฏิบัติตามให้เป็นไปตามกฎหมายโดยทั่วกัน ฯลฯ” ศาลฎีกาเห็นว่า การที่กระทรวงการคลังออกประกาศดังกล่าวก็เพื่อขจัดปัญหาผู้มีเงินได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน เช่น เงินกินเปล่าหลีกเลี่ยงไม่ยื่นรายการเงินได้จากเงินกินเปล่า โดยผ่อนปรนยอมให้ผู้ให้เช่าเฉลี่ยเงินกินเปล่าตามส่วนแห่งจำนวนปีของอายุการเช่าเพื่อเสียภาษีดังที่ได้ยกตัวอย่างไว้แทนที่จะนำเงินกินเปล่าทั้งหมดไปคำนวณภาษีครั้งเดียว ซึ่งทำให้ต้องเสียภาษีเป็นจำนวนมาก เป็นการแบ่งเบาภาระทางด้านผู้เสียภาษีและเพื่อความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษี ซึ่งจะเป็นเหตุจูงใจให้ผู้ให้เช่าที่มีรายได้จากเงินกินเปล่ามายื่นรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้มากรายยิ่งขึ้น สำหรับกรณีของโจทก์นั้นปรากฏว่าโจทก์ได้ยื่นรายการเงินได้จากเงินกินเปล่าในอัตราเฉลี่ยดังกล่าวเป็นรายปีมาถึง ๒ ปีแล้ว (พ.ศ. ๒๕๒๒ และ พ.ศ. ๒๕๒๓) แสดงว่าเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ ๑ อนุญาตให้โจทก์ยื่นรายการเงินได้เพื่อเสียภาษีตามประกาศกระทรวงการคลังดังกล่าวแล้ว การที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จะอาศัยอำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๘ ทวิ มาบังคับโจทก์โดยประเมินเรียกเก็บภาษีโจทก์ล่วงหน้าก่อนถึงกำหนดเวลายื่นรายการเงินได้ โดยอ้างว่า โจทก์มีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่มีความแน่นอนว่าจะสิ้นสภาพนิติบุคคลหรือเลิกประกอบกิจการเมื่อใด และจะมีความสามารถในการเสียภาษีอากรตลอดไปหรือไม่ ระยะเวลาการเสียภาษีตามอายุสัญญาเช่ายาวนานถึง ๑๖ ปี ไม่มีหลักประกันแน่นอนเกี่ยวกับภาระหน้าที่ของโจทก์ในการเสียภาษี จึงถือเป็นกรณีจำเป็นเพื่อรักษาประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีอากร เจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจที่จะประเมินเรียกเก็บภาษีจากโจทก์ก่อนถึงระยะเวลายื่นรายการได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าข้ออ้างดังกล่าวของจำเลยไม่ถือเป็นกรณีจำเป็น เพื่อรักษาประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีอากร เพราะเป็นเรื่องสถานภาพของโจทก์ในฐานะที่เป็นนิติบุคคลเท่านั้น ตามประกาศกระทรวงการคลังดังกล่าวใช้คำว่า “ผู้ให้เช่า” ย่อมหมายรวมทั้งบุคคลและนิติบุคคลด้วย และหากจะถือเป็นกรณีจำเป็นตามข้ออ้างของจำเลย เจ้าพนักงานประเมินย่อมจะไม่ยอมให้โจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคลยื่นรายการเงินได้จากเงินกินเปล่าในอัตราเฉลี่ยเป็นรายปีตามประกาศกระทรวงการคลังดังกล่าวแล้ว ย่อมจะประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้จากเงินกินเปล่าทั้งหมดจากโจทก์เพียงครั้งเดียวและกรณีจำเป็นเพื่อรักษาประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีอากรตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวจะต้องเป็นเรื่องอื่น เช่น ปรากฏตามงบดุลของโจทก์ว่าโจทก์ค้าขายขาดทุนเป็นเงินจำนวนมากและเจ้าหนี้หลายรายกำลังจะฟ้องบังคับชำระหนี้จากโจทก์เป็นต้น ซึ่งจะต้องเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลังที่เจ้าพนักงานประเมินอนุญาตให้โจทก์เฉลี่ยเงินกินเปล่าเสียภาษีเป็นรายปีตามประกาศกระทรวงการคลังแล้ว ดังนั้น การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share