แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 1 พฤษภาคม 2509 ปรากฏว่าผู้ร้องทั้ง 10 แถลงรับว่าได้เช่าบ้านจำเลยอยู่ ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้ผู้ร้องทั้ง 10 ออกไปภายใน 2 เดือนนับแต่วันนั้น (อันเป็นมูลให้ผู้ร้องอุทธรณ์ฎีกาต่อมา) นับจากนั้นมาในระยะเวลา 1 เดือน ผู้ร้องทั้ง 10 หาได้อุทธรณ์คำสั่งอย่างใดไม่ คำสั่งที่กล่าวถึงที่สุด แม้ผู้ร้องทั้ง 10 จะได้ยื่นคำร้องลงวันที่ 30 มิถุนายน 2509 ในเวลาภายหลังต่อมา อ้างว่ามิใช่บริวารจำเลย ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. 2504 ซึ่งเป็นข้ออ้างอย่างอื่นขึ้นมาใหม่ อันเป็นคนละประเด็น และเป็นการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมข้อเท็จจริงที่ยุติในสำนวนที่ศาลไม่ชอบที่จะฟังเป็นอย่างอื่นได้ ศาลจึงไม่จำต้องไต่สวนคำร้องของผู้ร้องที่ยื่นมาใหม่
การที่ผู้ร้องแถลงรับต่อศาลไว้ว่า ได้เช่าบ้านจำเลยอยู่ โดยไม่ปรากฏข้ออ้างข้อเถียงอย่างอื่นนั้น แสดงว่าผู้ร้องอ้างสิทธิการเช่าจากจำเลย จึงเป็นบริวารจำเลยนั่นเอง
ย่อยาว
กรณีเนื่องจากได้มีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยกับบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๒๗๘ ออกไปตามฟ้องใน ๕ เดือน ครบกำหนดโจทก์ร้องว่าบริวารจำเลยรวม ๓๖ คนยังไม่ออกไป ขอให้ออกหมายจับมากักขัง ศาลชั้นต้นออกหมายเรียกตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๐๙ บริวารบางคนมาศาลเฉพาะบริวารที่มาคือผู้ร้องทั้ง ๑๐ แถลงว่าได้เช่าบ้านจำเลย ยังหาที่อยู่ไม่ได้ ศาลสั่งให้ออกไปจากที่พิพาทภายใน ๒ เดือน ผู้ร้องทั้ง ๑๐ คน ไม่ยอมลงนามทราบคำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งต่อไป ในวันนั้น ให้ขังผู้ร้องทั้ง ๑๐ มีผู้ขอประกัน ครบกำหนดตามสัญญาประกัน ผู้ร้องทั้ง ๑๐ ก็ยังไม่ออก ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ปรับนายประกันทั้งให้ออกหมายจับผู้ร้องทั้ง ๑๐ ผู้ร้องทั้ง ๑๐ อุทธรณ์ว่าไม่ใช่เป็นบริวารจำเลย หากเช่าบ้านกับที่ดินจากจำเลย โดยความยินยอมของผู้ให้เช่าเดิมเพื่ออยู่อาศัย ได้รับความคุ้มครอบตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน ฯ ผู้ร้องคดีหลังจำนวน ๓๑ คน รวมทั้งผู้ร้องทั้ง ๑๐ ก็ยื่นคำร้องทำนองเดียวกัน ศาลชั้นต้นสั่งเมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๐๙ ว่า ผู้ร้องทั้ง ๓๑ คนจะอ้างว่ามิใช่บริวารจำเลยเป็นการประวิง ไม่มีสิทธิอยู่ในที่พิพาทให้ยกคำร้อง ให้ออกหมายจังผู้ร้องทั้ง ๑๐
ผู้ร้อง ๓๑ คนอุทธรณ์ว่า มิใช่เป็นบริวารจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่ ที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องโดยมิได้ไต่สวนเป็นการไม่ชอบ
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยกรณีแรกว่า คำสั่งที่สุดแล้ว พิพากษายืนเฉพาะกรณีที่หลังศาลชั้นต้นยกคำร้องโดยมิได้ไต่สวนเป็นการไม่ชอบ
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยกรณีแรกว่า คำสั่งถึงที่สุดแล้ว พิพากษายืนเฉพาะกรณีหลังที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง โดยมิได้ไต่สวน พิพากษาแก้เกี่ยวกับผู้ร้องอันดับที่ ๑๑ ถึง ๓๑ รวม ๒๑ คน ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้อง แล้วมีคำสั่งใหม่
ผู้ร้องทั้ง ๑๐ ฎีกา คดีเกี่ยวกับผู้ร้องอันดับที่ ๑๑ ถึง ๓๑ เป็นอันยุติ
ศาลฎีกาเห็นว่า ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๐๙ ว่าผู้ร้องทั้ง ๑๐ แถลงรับว่า ได้เช่าบ้านของเลยอยู่ทั้งสิ้น จึงมีคำสั่งให้ผู้ร้องทั้ง ๑๐ ออกไปภายใน ๒ เดือนนับแต่วันนั้น อันเป็นข้อมูลให้ผู้ร้องอุทธรณ์ฎีกาต่อมาส่วนหนึ่ง นับจากนั้นมาภายในระยะเวลา ๑ เดือน ผู้ร้องทั้ง ๑๐ หาได้อุทธรณ์คำสั่งอย่างใดไม่ คำสั่งที่กล่าวจึงถึงที่สุดไปตามกฎหมาย การที่ผู้ร้องทั้ง ๑๐ ยื่นคำร้องลงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๐๙ อ้างว่ามิใช่บริวารจำเลยได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. ๒๕๐๔ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การที่ผู้ร้องได้แถลงรับต่อศาลชั้นต้นไว้ดังกล่าวข้างต้นว่า ได้เช่าบ้านของจำเลยอยู่ โดยไม่ปรากฏข้ออ้างข้อเถียงอย่างอื่นในชั้นนั้นแสดงว่า ผู้ร้องอ้างสิทธิการเช่าจากจำเลย จึงเป็นบริวารจำเลยนั่นเอง ข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ร้องเป็นบริวารจำเลย เป็นอันยุติแล้ว การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องภายหลังเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๐๙ มีข้ออ้างเป็นอย่างอื่นขึ้นมาใหม่ อันเป็นคนละประเด็น และเป็นการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมข้อเท็จจริงที่ยุติในสำนวนที่ศาลไม่ชอบที่จะฟังเป็นอย่างอื่นได้ จึงไม่จำต้องไต่สวนคำร้องของผู้ร้องที่ยื่นมาใหม่ มิฉะนั้นจะเกิดให้มีการประวิงคดีไม่รู้จักจบจักสิ้น
พิพากษายืน