คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4146/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การและฟ้องแย้ง โดยฟ้องแย้งกล่าวไว้ในข้อ 7 และข้อ 8 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองแล้วต่อมาในวันนัดชี้สองสถานศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งที่รับฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองและมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับฟ้องแย้ง แม้คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวในตอนต้นจะกล่าวว่าฟ้องแย้งข้อ 8ไม่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม แต่ศาลชั้นต้นก็มิได้มีคำสั่งเพิกถอนเฉพาะคำสั่งรับฟ้องแย้งข้อ 8 และคืนค่าขึ้นศาลเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องแย้งข้อ 8 ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งรับฟ้องแย้ง แล้วมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้งทั้งหมด และคืนค่าขึ้นศาลในส่วนฟ้องแย้งให้จำเลยทั้งสอง จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งรับฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองในข้อ 7 ด้วยแล้ว จำเลยที่ 1 เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด เป็นบุคคลต่างหากจากผู้เป็นหุ้นส่วน โดยมีสิทธิหน้าที่และความรับผิดตลอดจนทรัพย์สินหนี้สินต่างหากจากผู้เป็นหุ้นส่วน คดีนี้คงพิพาทกันเฉพาะจำเลยที่ 1 ฝ่ายเดียวเท่านั้นที่ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากโจทก์ ดังนั้นจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 จึงไม่อาจฟ้องแย้งเรียกร้องให้โจทก์รับผิดต่อจำเลยที่ 2 เป็นการส่วนตัวได้ แม้จำเลยที่ 1 จะทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างกับโจทก์ที่ 1 และทำสัญญาซื้อขายวัสดุอุปกรณ์ กับโจทก์ที่ 2 โดยวัสดุอุปกรณ์ดังกล่าวนำไปใช้ในการก่อสร้างตามสัญญาของโจทก์ที่ 1 ก็ตาม แต่เมื่อกรรมสิทธิ์ของวัสดุอุปกรณ์ที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาซื้อขายกับโจทก์ที่ 2ยังไม่ตกเป็นของจำเลยที่ 1 จนกว่าจะได้มีการชำระเงินค่าวัสดุอุปกรณ์ให้แก่โจทก์ที่ 2 ครบถ้วน และจำเลยที่ 1ยังมิได้ชำระเงินค่าวัสดุอุปกรณ์ให้แก่โจทก์ที่ 2 หากมีวัสดุอุปกรณ์ที่โจทก์ที่ 2 ส่งมอบให้โจทก์ที่ 1 ใช้ในการก่อสร้างไม่ได้ได้มาตราฐานและไม่ครบถ้วน จำเลยที่ 1คงมีสิทธิเพียงไม่ชำระเงินค่าวัสดุอุปกรณ์เฉพาะที่ไม่ได้มาตรฐานและไม่ครบถ้วนดังกล่าวเท่านั้นแต่จำเลยที่ 1จะฟ้องแย้งให้โจทก์ที่ 2 ร่วมรับผิดกับโจทก์ที่ 1 ชำระค่าเสียหายในความชำรุดบกพร่องของบ้านซึ่งโจทก์ที่ 2 ไม่มีส่วน เกี่ยวข้องเป็นคู่สัญญาในสัญญาจะซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างด้วยไม่ได้ เพราะโจทก์ที่ 2 มิได้โต้แย้ง สิทธิจำเลยที่ 1

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นผู้ประกอบธุรกิจค้าอสังหาริมทรัพย์จัดสรรที่ดินและสร้างบ้านจำหน่ายใช้ชื่อโครงการว่า “เดอะรอยัลปาร์ค” สำหรับลูกค้าที่ซื้อบ้านพร้อมที่ดินโจทก์ทั้งสองจะให้ลูกค้าทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างกับโจทก์ที่ 1 และทำสัญญาซื้อขายวัสดุอุปกรณ์เพื่อใช้เป็นส่วนประกอบและตกแต่งบ้านกับโจทก์ที่ 2 จำเลยที่ 1เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดมีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 1 ได้ตกลงซื้อบ้านเดี่ยวพร้อมที่ดินเนื้อที่ 69.4 ตารางวา แบบบี แปลงเลขที่ เอสบี 21 ในโครงการดังกล่าวในราคา 6,373,000 บาท และจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาจะซื้อขายทีดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างกับโจทก์ที่ 1 ในราคา 3,823,800บาท ทำสัญญาซื้อขายวัสดุอุปกรณ์กับโจทก์ที่ 2 ในราคา 2,549,200บาท หลังจากทำสัญญาแล้วจำเลยที่ 1 ได้ชำระค่างวดให้โจทก์ที่ 1จนครบจำนวนเงินดาวน์ 1,280,000 บาท และโจทก์ที่ 2 ได้ส่งมอบวัสดุอุปกรณ์สัมภาระและส่วนประกอบที่โจทก์ที่ 2 ขายให้แก่จำเลยที่ 1 ตามสัญญาถูกต้องครบถ้วน แต่ระหว่างการก่อสร้างจำเลยที่ 1 ได้ขอเปลี่ยนแปลงรายการวัสดุอุปกรณ์คำนวณแล้วราคาวัสดุลดลงเป็นเงิน 101,307 บาท จำเลยที่ 1 จึงต้องชำระค่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างส่วนที่เหลือเพียง 2,543,800 บาทค่าวัสดุอุปกรณ์สัมภาระและส่วนประกอบ 2,549,200 บาท หักค่าวัสดุที่ลดลง 101,307 บาทแล้ว เป็นเงิน 4,991,693 บาท ต่อมาจำเลยที่ 1มีเจตนาทุจริตหลอกลวงโจทก์ทั้งสองให้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์บ้านและที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 ทั้ง ๆ ที่จำเลยที่ 1 ไม่ชำระเงินให้ครบตามสัญญา โจทก์ทั้งสองทวงถามให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินส่วนที่เหลือดังกล่าวหลายครั้ง แต่จำเลยที่ 1 เพิกเฉยทำให้โจทก์ทั้งสองเสียหาย จำเลยทั้งสองต้องชำระเงิน 2,483,193 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 27 มีนาคม 2539 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยที่ 1 ต้องชำระเงินในวันจดทะเบียนโอนบ้านและที่ดิน คิดถึงวันฟ้องเป็นเวลา 251 วัน เป็นเงินดอกเบี้ย128,071 บาท และเบี้ยปรับตามสัญญาร้อยละ 18 ต่อปี นับแต่วันที่ 27 มีนาคม 2539 เป็นเงิน 307,371 บาท รวมเป็นเงิน 2,918,635 บาทขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 2,918,635 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี และเบี้ยปรับในอัตราร้อยละ18 ต่อปี ของเงิน 2,483,193 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและบ้าน 2 ชั้น กับโจทก์ที่ 1 จำเลยที่ 1ชำระเงินครบถ้วนแล้ว และโจทก์ที่ 1 ได้จดทะเบียนโอนทีดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้จำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยทั้งสองมิได้มีหนี้สินใด ๆ กับโจทก์ที่ 1 โจทก์ทั้งสองไม่เคยทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายวัสดุอุปกรณ์ จำนวน 2,447,893บาท แต่มีบุคคลอื่นขอให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ตามสัญญาจำเลยทั้งสองจึงขอให้โจทก์ทั้งสองออกใบเสร็จรับเงินและใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมาย โจทก์ทั้งสองไม่ยอมออกให้จำเลยทั้งสองจึงใช้สิทธิตามกฎหมายระงับการจ่ายเงินตามสัญญาจำเลยทั้งสองจึงไม่ผิดสัญญา โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยและเบี้ยปรับจากจำเลยทั้งสอง กับขอฟ้องแย้งว่าโจทก์ทั้งสองประพฤติผิดสัญญาและกฎหมายโดยไม่ยอมออกใบเสร็จรับเงินและใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งโจทก์ทั้งสองในฐานะผู้มีรายได้และผู้ประกอบการเมื่อได้รับเงินมีหน้าที่ต้องออกใบเสร็จรับเงินให้แก่จำเลยทั้งสองตามมูลหนี้ตามสัญญาค่าซื้อวัสดุ เป็นเงิน2,447,895 บาท และใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเงิน 160,142.66บาท ตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง โจทก์ที่ 1ต้องส่งมอบที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้นมีเนื้อที่ใช้สอยจำนวน 197.15 ตารางเมตร แต่โจทก์สร้างบ้านให้จำเลยที่ 1 ได้เนื้อที่ใช้สอยเพียง 184.04 ตารางเมตร ขาดไป 13.11 ตารางเมตร โจทก์ทั้งสองจึงต้องลดเงินที่จะได้รับจากจำเลยไปตารางเมตรละ 20,000 บาท เป็นเงิน 262,200 บาทการสร้างบ้านของโจทก์ทั้งสองไม่ได้มาตรฐานที่จอดรถทรุดจำเลยทั้งสองต้องใช้จ่ายเงินซ่อมแซมจำนวน 50,000 บาท การติดตั้งระบบไฟฟ้าผิดแบบและระเบียบของทางราชการ จำเลยทั้งสองต้องแก้ไขเป็นเงิน 200,000 บาท ตามสัญญาโจทก์ทั้งสองต้องติดตั้งโทรศัพท์ 7 คู่สาย แต่โจทก์ทั้งสองติดตั้งให้เพียง 4 คู่สายมิได้ติดตั้งตู้พักสายโทรศัพท์และจัดหาโทรศัพท์ให้ 1 หมายเลขจำเลยทั้งสองต้องแก้ไขเสียค่าใช้จ่ายเป็นเงิน 10,000 บาทตัวบ้านมีรอยร้าวทั้งภายในและภายนอกหลายแห่ง จำเลยทั้งสองต้องแก้ไขซ่อมแซมและทาสีใหม่เป็นเงิน 150,000 บาท กับในการแก้ไขดังกล่าวต้องรื้อฝ้าเพดาน วอลเปเปอร์และติดตั้งใหม่เป็นเงิน 150,000 บาท การก่อสร้างที่ต้องแก้ไขและผิดแบบดังกล่าวจำเลยทั้งสองมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทั้งสองแก้ไขให้แล้วแต่โจทก์ทั้งสองเพิกเฉย โจทก์ทั้งสองจึงต้องรับผิดต่อจำเลยทั้งสองรวมเป็นเงิน 822,200 บาท ขอให้ยกฟ้อง และบังคับให้โจทก์ทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 822,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จให้โจทก์ทั้งสองออกใบเสร็จรับเงินจำนวน 2,447,895 บาท และออกใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเงิน 160,142.66 บาทแก่จำเลยทั้งสอง
โจทก์ทั้งสองให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ทั้งสองไม่ได้ผิดสัญญาคำฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองนอกเหนือจากข้อสัญญา ขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสอง
ในวันนัดชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นเห็นว่าฟ้องแย้ง ข้อ 8ไม่เกี่ยวข้อกับฟ้องเดิม อาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 มีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งรับฟ้องแย้งดังกล่าวและมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับฟ้องแย้งคืนค่าขึ้นศาลในส่วนฟ้องแย้งให้จำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รับคำฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 เฉพาะส่วนที่ขอให้โจทก์ที่ 1 ใช้ค่าเสียหายจำนวน822,200 บาท แล้วให้ศาลชั้นต้นดำเนินคดีต่อไป นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การและฟ้องแย้ง โดยฟ้องแย้งกล่าวไว้ในข้อ 7 และข้อ 8ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองต่อมาในวันนัดชี้สองสถานศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งที่รับฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสอง และมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับฟ้องแย้ง
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อแรกมีว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งรับฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองเฉพาะในข้อ 8 คำสั่งรับฟ้องแย้งในข้อ 7 จึงยังคงมีผลอยู่นั้นเห็นว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าว แม้ตอนต้นจะกล่าวว่าฟ้องแย้งข้อ 8 ไม่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมแต่ศาลชั้นต้นก็มิได้มีคำสั่งเพิกถอนเฉพาะคำสั่งรับฟ้องแย้งข้อ 8 และคืนค่าขึ้นศาลเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องแย้งข้อ 8 โดยศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งรับฟ้องแย้ง แล้วมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้งทั้งหมดและคืนค่าขึ้นศาลในส่วนฟ้องแย้งให้จำเลยทั้งสอง จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งรับฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองในข้อ 7 ด้วย มิใช่เพิกถอนเฉพาะคำสั่งรับฟ้องแย้งในข้อ 8ดังที่จำเลยทั้งสองเข้าใจ
จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองในข้อ 7ที่ให้โจทก์ทั้งสองออกใบเสร็จรับเงินและใบกำกับภาษีเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้นั้นเห็นว่า ในชั้นอุทธรณ์จำเลยทั้งสองมิได้ยกข้อดังกล่าวขึ้นอุทธรณ์แต่อย่างใด แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยมาก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อที่สามมีว่าจำเลยที่ 2 มีอำนาจฟ้องแย้งหรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 2เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดเป็นบุคคลต่างหากจากผู้เป็นหุ้นส่วนโดยมีสิทธิหน้าที่และความรับผิดตลอดจนทรัพย์สินหนี้สินต่างหากจากผู้เป็นหุ้นส่วน กรณีพิพาทคดีนี้เฉพาะจำเลยที่ 1 เท่านั้นที่ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากโจทก์ทั้งสองจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 จะฟ้องแย้งได้ก็เฉพาะในฐานะที่เป็นผู้แทนของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลแต่จะฟ้องแย้งเรียกร้องให้โจทก์ทั้งสองรับผิดต่อจำเลยที่ 2เป็นการส่วนตัวหาได้ไม่ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ไม่มีอำนาจฟ้องแย้งโจทก์ทั้งสองชอบแล้ว
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อสุดท้ายมีว่าจำเลยที่ 1 มีอำนาจฟ้องแย้งโจทก์ที่ 2 ให้ชำระค่าเสียหายในความชำรุดบกพร่องของบ้านที่จำเลยที่ 1 ตกลงซื้อหรือไม่โดยจำเลยทั้งสองฎีกาว่าแม้จำเลยที่ 1 จะทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างกับโจทก์ที่ 1 และทำสัญญาซื้อขายวัสดุอุปกรณ์กับโจทก์ที่ 2 โดยวัสดุอุปกรณ์ดังกล่าวนำไปใช้ในการก่อสร้างตามสัญญาของโจทก์ที่ 1 เมื่อเกิดความเสียหายโจทก์ทั้งสองจึงต้องรับผิดทั้งในส่วนการก่อสร้างและในส่วนอุปกรณ์ที่ไม่ได้มาตรฐานนั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำฟ้องซึ่งจำเลยทั้งสองมิได้ให้การปฏิเสธว่า กรรมสิทธิ์ของวัสดุอุปกรณ์ที่จำเลยที่ 1ทำสัญญาซื้อขายกับโจทก์ที่ 2 นั้นยังไม่ตกเป็นของจำเลยที่ 1จนกว่าจะได้มีการชำระเงินค่าวัสดุอุปกรณ์ให้แก่โจทก์ที่ 2 ครบถ้วนและจำเลยที่ 1 ยังมิได้ชำระเงินค่าวัสดุอุปกรณ์ให้แก่โจทก์ที่ 2แต่อย่างใด ดังนั้นหากมีวัสดุอุปกรณ์ที่โจทก์ที่ 2 ส่งมอบให้โจทก์ที่ 1 ใช้ในการก่อสร้างไม่ได้มาตราฐานและไม่ครบถ้วนดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกา จำเลยที่ 1 คงมีสิทธิเพียงไม่ชำระเงินค่าวัสดุอุปกรณ์เฉพาะที่ไม่ได้มาตรฐานและไม่ครบถ้วนดังกล่าวเท่านั้น จำเลยที่ 1 จะฟ้องแย้งให้โจทก์ที่ 2 ร่วมรับผิดกับกับโจทก์ที่ 1 ชำระค่าเสียหายในความชำรุดบกพร่องของบ้านซึ่งโจทก์ที่ 2 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นคู่สัญญาในสัญญาจะซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างด้วยหาได้ไม่ เพราะโจทก์ที่ 2 มิได้โต้แย้งสิทธิจำเลยที่ 1
พิพากษายืน

Share