คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3544/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาจำนองมีข้อความว่า หากเป็นการจำนองเป็นประกันการเบิกเงินเกินบัญชี ผู้จำนองยอมเสียดอกเบี้ยเป็นรายเดือนโดยวิธีคำนวณดอกเบี้ยทบต้นตามประเพณีของธนาคาร และข้อเท็จจริงก็ฟังได้ว่าเป็นการจำนองเป็นประกันการเบิกเงินเกินบัญชีธนาคารโจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นได้
การคิดดอกเบี้ยทบต้นนั้น ถ้าผู้กู้ผิดนัดไม่ส่งดอกเบี้ยตามอัตราและกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้ ผู้กู้ยินยอมให้ดอกเบี้ยที่ค้างชำระนั้นทบเข้ากับต้นเงินได้ทันทีที่ค้างชำระทุกคราวไปดอกเบี้ยที่ทบเข้านี้ก็กลายเป็นต้นเงินอันผู้กู้จะต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราเดียวกันและมีกำหนดเวลาชำระอย่างเดียวกันตราบใดที่สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชียังไม่ยุติลง ดอกเบี้ยที่ค้างชำระจะมีได้เพียงเดือนเดียวเท่านั้น
จำเลยที่ 2 จดทะเบียนจำนองค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1จำนวน 100,000 บาท ในวันที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์เกินจำนวน 100,000 บาทอยู่แล้วจำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดในดอกเบี้ยทบต้นเพียงต้นเงิน 100,000 บาทนับแต่วันทำสัญญาจำนองเป็นต้นไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้กู้เบิกเงินเกินบัญชี และจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันโดยได้จำนองที่ดินไว้เป็นประกันด้วย ร่วมกันรับผิดในเงินที่จำเลยที่ 1 กู้เบิกเงินเกินบัญชี พร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ในต้นเงินเพียง 100,000 บาท ซึ่งจำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดในดอกเบี้ยไม่เกิน 5 ปี และต่อสู้ในข้ออื่นอีก

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้แก่โจทก์ 255,918.92 บาทพร้อมดอกเบี้ย ให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดในต้นเงิน 100,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยถ้าไม่ชำระให้บังคับจำนอง

โจทก์และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดชดใช้เงินแก่โจทก์222,318.94 บาทพร้อมดอกเบี้ย

จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาที่ว่า โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยที่ 2 ได้หรือไม่ และมีสิทธิคิดดอกเบี้ยส่วนที่เกินกว่าห้าปีหรือไม่ดังนี้ ตามหนังสือสัญญาจำนองเอกสารหมาย จ.9 ข้อ 2 วรรคสอง มีข้อความว่า “หากการจำนองนี้ จำนองเป็นประกันการเบิกเงินเกินบัญชี ผู้จำนองยอมเสียดอกเบี้ยเป็นรายเดือนทุก ๆ เดือน ตามอัตราดังกล่าวในวรรคต้นโดยวิธีคำนวณดอกเบี้ยทบต้นตามประเพณีของธนาคาร” และข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่าการจำนองรายนี้ได้จำนองเป็นประกันการเบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ 1ฉะนั้นโจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยที่ 2 ได้ตามข้อสัญญาดังกล่าวและการคิดดอกเบี้ยทบต้นนั้น ถ้าผู้กู้ผิดนัดไม่ส่งดอกเบี้ยตามอัตราและกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้ คือต้องส่งเป็นรายเดือนทุก ๆ วันสิ้นเดือนผู้กู้ยินยอมให้ดอกเบี้ยที่ค้างชำระนั้นทบเข้ากับต้นเงินได้ทันทีที่ค้างชำระทุกคราวไป และดอกเบี้ยที่ทบเข้านี้ก็กลายเป็นต้นเงินอันผู้กู้จะต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราเดียวกันและมีกำหนดเวลาชำระอย่างเดียวกันฉะนั้นตราบใดที่สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชียังไม่ยุติลง ดอกเบี้ยที่ค้างชำระจะมีได้เพียงเดือนเดียวเท่านั้น จึงไม่ขาดอายุความเรียกร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 166 คดีนี้ปรากฏว่า สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ 1 ยุติลงเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2521 ฉะนั้นภายในระยะเวลาดังกล่าวโจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยที่ 2 ได้ในอัตราร้อยละ14 ต่อปีตามสัญญาจำนองไม่เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 189 แต่เนื่องจากศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้คิดดอกเบี้ยทบต้นได้เพียงวันที่ 30 มิถุนายน 2520 ตามที่ปรากฏในรายการสุดท้ายของบัญชีเลขที่ 925 ของจำเลยที่ 1 (เอกสารหมาย จ.12) ซึ่งโจทก์ก็พอใจไม่ได้ฎีกาคัดค้านมา ศาลฎีกาจึงเห็นควรให้จำเลยที่ 2 เสียดอกเบี้ยทบต้นเพียงวันที่ 30 มิถุนายน 2520 เช่นกัน ต่อจากนั้นจึงให้คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ14 ต่อปีโดยไม่ทบต้น อนึ่งปรากฏว่า จำเลยที่ 2 เพิ่งจดทะเบียนจำนองค้ำประกันหนี้รายนี้เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2514 ซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์เกินจำนวน 100,000บาท อยู่แล้ว จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดในดอกเบี้ยทบต้นเพียงต้นเงิน 100,000 บาทนับแต่วันทำสัญญาจำนองเป็นต้นไป

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 รับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ชดใช้เงินให้โจทก์ในต้นเงิน 100,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย

Share