คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 354-355/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 1 พฤษภาคม 2509 ปรากฏว่าผู้ร้องทั้ง 10 แถลงรับว่าได้เช่าบ้านจำเลยอยู่ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้ผู้ร้องทั้ง 10 ออกไปภายใน 2 เดือนนับแต่วันนั้น (อันเป็นมูลให้ผู้ร้องอุทธรณ์ฎีกาต่อมา) นับจากนั้นมาภายในระยะเวลา 1 เดือน ผู้ร้องทั้ง 10 หาได้อุทธรณ์คำสั่งอย่างใดไม่ คำสั่งที่กล่าวจึงถึงที่สุด แม้ผู้ร้องทั้ง 10 จะได้ยื่นคำร้องลงวันที่ 30 มิถุนายน 2509 ในเวลาภายหลังต่อมาอ้างว่ามิใช่บริวารจำเลย ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.2504 ซึ่งเป็นข้ออ้างอย่างอื่นขึ้นมาใหม่อันเป็นคนละประเด็น และเป็นการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมข้อเท็จจริงที่ยุติในสำนวนที่ศาลไม่ชอบที่จะฟังเป็นอย่างอื่นได้ศาลจึงไม่จำต้องไต่สวนคำร้องของผู้ร้องที่ยื่นมาใหม่
การที่ผู้ร้องแถลงรับต่อศาลไว้ว่า ได้เช่าบ้านจำเลยอยู่ โดยไม่ปรากฏข้ออ้างข้อเถียงอย่างอื่นนั้นแสดงว่าผู้ร้องอ้างสิทธิการเช่าจากจำเลย จึงเป็นบริวารจำเลยนั่นเอง

ย่อยาว

กรณีเนื่องจากได้มีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยกับบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในที่ดินโฉนดเลขที่ 1278 ออกไปตามฟ้องใน 5เดือน ครบกำหนดโจทก์ร้องว่าบริวารจำเลยรวม 36 คนยังไม่ออกไปขอให้ออกหมายจับมากักขัง ศาลชั้นต้นออกหมายเรียกตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 6 พฤษภาคม 2509 บริวารบางคนมาศาลเฉพาะบริวารที่มาคือผู้ร้องทั้ง 10 แถลงว่าได้เช่าบ้านจำเลยยังหาที่อยู่ไม่ได้ ศาลสั่งให้ออกไปจากที่พิพาทภายใน 2 เดือนผู้ร้องทั้ง 10 คน ไม่ยอมลงนามทราบคำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งต่อไปในวันนั้น ให้ขังผู้ร้องทั้ง 10 มีผู้ขอประกัน ครบกำหนดตามสัญญาประกัน ผู้ร้องทั้ง 10 ก็ยังไม่ออก ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ปรับนายประกันทั้งให้ออกหมายจับผู้ร้องทั้ง 10 ผู้ร้องทั้ง 10 อุทธรณ์ว่ามิใช่เป็นบริวารจำเลย หากเช่าช่วงบ้านกับที่ดินจากจำเลย โดยความยินยอมของผู้ให้เช่าเดิมเพื่ออยู่อาศัย ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดินฯ ผู้ร้องคดีหลังจำนวน 31 คนรวมทั้งผู้ร้องทั้ง 10 ก็ยื่นคำร้องทำนองเดียวกันศาลชั้นต้นสั่งเมื่อวันที่ 18 กรกฏาคม 2509 ว่าผู้ร้องทั้ง 31 คนจะอ้างว่ามิใช่บริวารจำเลยเป็นการประวิง ไม่มีสิทธิอยู่ในที่พิพาทให้ยกคำร้องให้ออกหมายจับผู้ร้องทั้ง 10

ผู้ร้อง 31 คนอุทธรณ์ว่า มิใช่เป็นบริวารจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่ ที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องโดยมิได้ไต่สวนเป็นการไม่ชอบ

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยกรณีแรกว่า คำสั่งถึงที่สุดแล้ว พิพากษายืนเฉพาะกรณีหลังที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง โดยมิได้ไต่สวน พิพากษาแก้เกี่ยวกับผู้ร้องอันดับที่ 11 ถึง 31 รวม 21 คน ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้อง แล้วมีคำสั่งใหม่

ผู้ร้องทั้ง 10 ฎีกา คดีเกี่ยวกับผู้ร้องอันดับที่ 11 ถึง 31 เป็นอันยุติ

ศาลฎีกาเห็นว่า ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 6พฤษภาคม 2509 ว่าผู้ร้องทั้ง 10 แถลงรับว่า ได้เช่าบ้านของจำเลยอยู่ทั้งสิ้นจึงมีคำสั่งให้ผู้ร้องทั้ง 10 ออกไปภายใน 2 เดือนนับแต่วันนั้น อันเป็นข้อมูลให้ผู้ร้องอุทธรณ์ฎีกาต่อมาส่วนหนึ่งนับจากนั้นมาภายในระยะเวลา 1 เดือน ผู้ร้องทั้ง 10 หาได้อุทธรณ์คำสั่งอย่างใดไม่ คำสั่งที่กล่าวจึงถึงที่สุดไปตามกฎหมาย การที่ผู้ร้องทั้ง 10 ยื่นคำร้องลงวันที่ 30 มิถุนายน 2509 อ้างว่ามิใช่บริวารจำเลยได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. 2504 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การที่ผู้ร้องได้แถลงรับต่อศาลชั้นต้นไว้ดังกล่าวข้างต้นว่าได้เช่าบ้านของจำเลยอยู่ โดยไม่ปรากฏข้ออ้างข้อเถียงอย่างอื่นในชั้นนั้นแสดงว่าผู้ร้องอ้างสิทธิการเช่าจากจำเลย จึงเป็นบริวารจำเลยนั่นเองข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ร้องเป็นบริวารจำเลย เป็นอันยุติแล้วการที่ผู้ร้องยื่นคำร้องภายหลังเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2509 มี ข้ออ้างเป็นอย่างอื่นขึ้นมาใหม่ อันเป็นคนละประเด็น และเป็นการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมข้อเท็จจริงที่ยุติในสำนวนที่ศาลไม่ชอบที่จะฟังเป็นอย่างอื่นได้ จึงไม่จำต้องไต่สวนคำร้องของผู้ร้องที่ยื่นมาใหม่ มิฉะนั้นจะเกิดให้มีการประวิงคดีไม่รู้จักจบจักสิ้น

พิพากษายืน

Share