คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 354/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยยอมรับว่า โจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาท 1 ใน 3 จำเลย 2 คนมีอยู่คนละ 1 ใน 3 แต่จำเลยเถียงว่าได้ครอบครองที่พิพาทเป็นสัดส่วนกันมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ในวันนัดพร้อม จำเลยก็ยังยืนยันที่จะขอส่วนแบ่งตรงที่ที่จำเลยครอบครองอยู่ เมื่อจำเลยอ้างว่าได้ครอบครองที่พิพาทเป็นสัดส่วนมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ถ้าเป็นความจริงจำเลยก็ชอบที่จะได้กรรมสิทธิ์ตรงที่ที่จำเลยครอบครองตามความในมาตรา 1382 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ข้อต่อสู้ของจำเลยจึงเป็นข้อเท็จจริงที่จะต้องฟังกันต่อไป
(อ้างฎีกาที่ 1424/2497)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยทั้งสองมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินแปลงหนึ่งโดยโจทก์จำเลยมีส่วนอยู่คนละ ๑ ใน ๓ โจทก์ประสงค์จะแบ่งแยกส่วนของโจทก์ออก แต่จำเลยไม่จัดการแบ่งแยกให้ จึงขอให้ศาลบังคับ ถ้าการแบ่งแยกไม่ตกลงกัน ก็ให้ประมูลหรือขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งกัน
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ที่พิพาทได้ปกครองกันเป็นส่วนสัดมา โจทก์ขอแบ่งจำเลยก็ยอม แต่โจทก์เกี่ยงจะเอาที่ส่วนของจำเลย จึงไม่ตกลงกัน
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า ที่พิพาทได้ครอบครองกันมาเป็นสัดส่วนเป็นเวลากว่า ๑๐ ปีแล้ว จำเลยยินดีจะรังวัดแบ่งแยกให้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีไม่มีประเด็นที่จะสืบพยานกันต่อไป แล้วพิพากษาว่าโจทก์จำเลยมีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทคนละส่วนเท่า ๆ กัน ให้ขายที่พิพาทนำเงินมาแบ่งให้คู่ความตามส่วน โดยวิธีประมูลราคา หากไม่ตกลงกันก็ให้ขายทอดตลาด
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยยังสงวนคำให้การต่อสู้คดีในประเด็นแบ่งแยกกันครอบครองเป็นส่วนสัดอยู่ ยังมิได้สละคำให้การในประเด็นนี้ จึงยังมีข้อเท็จจริงที่จะต้องสืบพยานกันต่อไป จึงให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการตามกระบวนพิจารณาต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยยอมรับแล้วว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาท ๑ ใน ๓ จำเลยสองคนมีอยู่คนละ ๑ ใน ๓ แต่จำเลยเถียงว่าได้ครอบครองที่พิพาทเป็นส่วนสัดกันมาเป็นเวลากว่า ๑๐ ปีแล้ว ในวันนัดพร้อม จำเลยก็ยังยืนยันที่จะขอส่วนแบ่งตรงที่ที่จำเลยครอบครองอยู่ เมื่อจำเลยอ้างว่าได้ครอบครองที่พิพาทเป็นสัดส่วนมาเป็นเวลากว่า ๑๐ ปีแล้ว ถ้าเป็นความจริงจำเลยก็ชอบที่จะได้กรรมสิทธิ์ตรงที่ที่จำเลยครอบครองตามความในมาตรา ๑๓๘๒ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ ๒ จึงเป็นข้อเท็จจริงที่จะต้องฟังกันต่อไป จำเลยที่ ๒ ยังหาได้สละเสียไม่ ส่วนคดีส่วนตัวจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ มิได้อุทธรณ์ จึงถึงที่สุด ที่ศาลอุทธรณ์ให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่รวมถึงจำเลยที่ ๑ ด้วย ไม่ถูกต้อง
พิพากษาแก้ ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยที่ ๒ ต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี.

Share