คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3538/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยไปอยู่อาศัยและประกอบอาชีพที่จังหวัดภูเก็ตตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2531 การที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2533 โดยส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยด้วยวิธีประกาศหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นที่จังหวัดเชียงใหม่ จึงมีเหตุให้เชื่อได้ว่าจำเลยไม่ทราบเรื่องที่ถูกฟ้อง ต้องถือว่าจำเลยมิได้จงใจขาดนัดพิจารณา กรณีมีเหตุสมควรให้พิจารณาใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 209ประกอบพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 การที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งมิใช่ศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตหรือประกอบธุรกิจอยู่ในเขตในขณะที่โจทก์ยื่นคำฟ้องหรือภายในกำหนดเวลา 1 ปี ก่อนนั้นรับคำฟ้องไว้พิจารณาในตอนแรกย่อมขัดต่อพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 150 และเมื่อคำสั่งศาลจังหวัดเชียงใหม่ที่อนุญาตให้พิจารณาใหม่เป็นคำสั่งที่ชอบต้องถือว่าคดีกลับไปอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลจังหวัดเชียงใหม่อีกครั้ง ศาลจังหวัดเชียงใหม่ย่อมมีอำนาจสั่งเพิกถอนคำสั่งรับฟ้องอันเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสียและมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับฟ้อง กับคืนคำฟ้องให้โจทก์เพื่อไปยื่นต่อศาลที่มีเขตอำนาจได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ประกอบมาตรา 209และพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย จำเลยไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียวแล้วมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่อ้างว่า จำเลยมิได้จงใจขาดนัดพิจารณา จำเลยไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องหากจำเลยได้นำพยานเข้าสืบสามารถพิสูจน์ได้ว่า มิได้มีหนี้สินล้นพ้นตัว เพราะจำเลยมีเงินฝากธนาคารและมีทรัพย์สินอื่นจำนวนมากพอที่จะใช้หนี้แก่โจทก์ได้
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยจงใจขาดนัดพิจารณาและหลบหนีไปจากเคหสถาน จึงได้ขอให้ศาลมีคำสั่งประกาศหนังสือพิมพ์แทนการส่งหมายนัดและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลย
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของจำเลยแล้ว มีคำสั่งอนุญาตให้พิจารณาใหม่ และได้มีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาในวันเดียวกันต่อไปว่า ขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลคดีโจทก์จึงไม่อยู่ในเขตอำนาจศาลสั่งรับฟ้องไปโดยผิดหลงจึงให้เพิกถอนคำสั่งที่รับคำฟ้องเป็นไม่รับคำฟ้อง ให้คืนคำฟ้องโจทก์ไปเพื่อยื่นต่อศาลที่มีเขตอำนาจ
โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลย และยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้เพิกถอนการรับฟ้องด้วย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยไปอยู่อาศัยและประกอบอาชีพที่จังหวัดภูเก็ตตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2531การที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ต่อศาลชั้นต้น เมื่อวันที่26 มิถุนายน 2533 โดยส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยด้วยวิธีประกาศหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นที่จังหวัดเชียงใหม่ จึงมีเหตุให้เชื่อได้ว่าจำเลยไม่ทราบเรื่องที่โจทก์ฟ้อง ต้องถือว่าจำเลยมิได้จงใจขาดนัดพิจารณา กรณีมีเหตุสมควรให้พิจารณาใหม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 209 ประกอบพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปมีว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งให้รับฟ้องโจทก์และมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับฟ้อง กับคืนคำฟ้องให้โจทก์เพื่อไปยื่นต่อศาลที่มีเขตอำนาจนั้น เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 150 บัญญัติว่า “การยื่นคำฟ้องหรือคำร้องขอให้ล้มละลาย ให้ยื่นต่อศาลซึ่งลูกหนี้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตหรือประกอบธุรกิจอยู่ในเขตไม่ว่าด้วยตนเองหรือตัวแทนในขณะที่ยื่นคำฟ้องหรือคำร้องขอหรือภายในกำหนดเวลา 1 ปี ก่อนนั้น”เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดภูเก็ตตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2531 ดังได้วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นจึงมิใช่ศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตหรือประกอบธุรกิจอยู่ในเขตในขณะที่โจทก์ยื่นคำฟ้องคือเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2533 หรือภายในกำหนดเวลา 1 ปี ก่อนนั้น การที่ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องไว้พิจารณาในตอนแรกย่อมขัดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว และเมื่อคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้พิจารณาใหม่เป็นคำสั่งที่ชอบต้องถือว่าคดีนี้กลับไปอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นอีกครั้ง ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจสั่งเพิกถอนคำสั่งรับคำฟ้องอันเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสีย และมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับฟ้อง กับคืนคำฟ้องให้โจทก์เพื่อไปยื่นต่อศาลที่มีเขตอำนาจได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ประกอบมาตรา 209และพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงชอบแล้ว
พิพากษากลับ ให้บังคับตามคำสั่งศาลชั้นต้น

Share