คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1407/2494

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลย 2 คนสมคบกันเอาที่ดินของโจทก์ไปทำสัญญาปรานีประนอมยอมความกันในศาล จนศาลพิพากษาไปตามยอมแล้วนั้น
โจทก์ผู้เป็นเจ้าของ ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้ง 2 ขอให้ศาลแสดงว่าที่ดินพิพาทนั้นเป็นกรรมสิทธิของโจทก์ได้ แต่จะให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำสั่งในคดีเดิมสัญญาปรานีประนอมยอมความตลอดจนคำพิพากษาท้ายยอมในคดีเดิมที่จำเลยทั้งสองสมคบกันสมยอมไว้นั้น ศาลย่อมไม่เพิกถอนให้ เพราะเห็นว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลตามธรรมดา ย่อมผูกพันคู่ความในคดีนั้น บุคคลภายนอกย่อมไม่มีความจำเป็นจะต้องให้เพิกถอน เมื่อโจทก์พิศูจน์ได้ว่ามีสิทธิดีกว่าจำเลย ศาลก็พิพากษาให้ที่ดินนั้นเป็นของโจทก์และพิพากษาให้คำสั่งในคดีก่อนสัญญาปรานีประนอมยอมความและคำพิพากษาท้ายยอมในคดีก่อนไม่ผูกพันโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ สมยอมกัน เอาที่ดินพิพาทอันเป็นสมบัติของวัดชำ ไปทำสัญญายอมความกันในศาลและศาลได้พิพากษาตามยอม จึงขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งในคดีแพ่งแดงที่ ๗๒/๒๔๙๑ และสัญญาปรานีประนอมยอมความในคดีแพ่งแดงที่ ๒๑๙/๒๔๙๑ นั้นเสีย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่พิพาทเป็นมรดกได้แก่วัดนางชำ จำเลยทั้งสองไม่มีสิทธิจะได้ จึงพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งในคดีแพ่งแดงที่ ๗๒/๒๔๙๑ และเพิกถอนสัญญาปรานีประนอมยอมความและคำพิพากษาท้ายยอมในคดีแพ่งแดงที่ ๒๑๙/๒๔๙๑ นั้นเสีย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาคงฟังข้อเท็จจริงยืนตามศาลล่างว่า ที่พิพาทตกได้แก่วัดนางชำ คดีจำเลยไม่มีทางชนะได้ แต่ที่ศาลชั้นต้นให้เพิกถอนคำสั่งศาลกับให้เพิกถอนสัญญาปรานีประนอมยอมความและคำพิพากษาท้ายยอมมาด้วยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลตามธรรมดาย่อมผูกพันคู่ความในคดีนั้น บุคคลภายนอกย่อมไม่มีความจำเป็นจะต้องให้เพิกถอน แต่โจทก์ในคดีนี้พิศูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่าจำเลย ฉะนั้นคำพิพากษาท้ายยอมในคดีนั้นจึงไม่ผูกพันโจทก์ตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา ๑๔๕ (๒)
จึงพิพากษาแก้เป็นว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิของโจทก์ และคำสั่งในคดีแพ่งแดงที่ ๗๒/๒๔๙๑ กับสัญญาปรานีประนอมยอมความและคำพิพากษาท้ายยอมในคดีแพ่งแดงที่ ๒๑๙/๒๔๙๑ ไม่ผูกพันโจทก์

Share