คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 79/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ระหว่างจำเลยถูกฟ้องคดีจำเลยไม่ได้อยู่บ้านตามฟ้องแต่ได้เดินทางไปค้าขายต่างจังหวัดไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง เมื่อจำเลยกลับจากต่างจังหวัด หลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว จึงทราบว่าถูกฟ้อง การที่จำเลยไม่ได้ยื่นคำให้การและไม่ได้มาศาลในวันนัดพิจารณาจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา โจทก์ฎีกาว่าในเดือนสิงหาคม 2532 ซึ่งเป็นเวลาหลังจากถูกฟ้องแล้วโจทก์จำเลยได้ไปทำการไกล่เกลี่ยเรื่องที่ดินถูกฟ้องที่บ้านมารดา จำเลยย่อมทราบถึงการถูกฟ้องในวันนั้นแล้ว เมื่อโจทก์มิได้กล่าวไว้ในคำคัดค้านชั้นขอพิจารณาใหม่จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่า สัญญาซื้อขายที่ดิน ระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะให้เพิกถอนรายการจดทะเบียนและให้จำเลยส่งมอบ น.ส.3ก. ให้โจทก์ จำเลยไม่ยื่นคำให้การและไม่มาศาลในวันนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ให้พิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียวแล้วพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี และได้มีการส่งคำบังคับให้จำเลยทราบแล้ว
จำเลยยื่นคำร้องว่า มิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาจำเลยและภรรยาไปค้าขายอยู่ต่างจังหวัด จึงไม่ทราบว่าถูกฟ้อง หากจำเลยมีโอกาสยื่นคำให้การและนำพยานเข้าสืบแล้วจะเป็นฝ่ายชนะคดีโจทก์ได้ ขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องแล้ว จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วเห็นว่า จำเลยมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา และมีคำสั่งให้พิจารณาคดีใหม่
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาวินิจฉัยมีว่า จำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าโจทก์กับจำเลยเป็นพี่น้องกันจำเลยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเลขที่ 11หมู่ที่ 5 ตำบลหนองหว้า อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษซึ่งเป็นบ้านมารดาโจทก์จำเลย เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2532 โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ระบุที่อยู่จำเลยตามทะเบียนบ้านดังกล่าววันที่ 8 กรกฎาคม 2532 เจ้าหน้าที่เดินหมายของศาลไปส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลย ณ ที่อยู่ตามฟ้อง ไม่พบจำเลย เจ้าหน้าที่จึงปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไว้ จำเลยมิได้ยื่นคำให้การศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ เมื่อวันที่ 2สิงหาคม 2532 และในวันที่ 5 กันยายน 2532 ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียว แล้วพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี วันที่ 22 กันยายน2532 จำเลยมายื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่อ้างว่าไม่ทราบว่าถูกฟ้องปัญหาว่าจำเลยทราบว่าถูกฟ้องเมื่อใด จำเลยมีนายสุวรรณ เชื้อทองกำนัน นายสมร ทองแปลง สารวัตรกำนัน มาเบิกความประกอบตัวจำเลยว่า เดิมจำเลยอยู่กับมารดา ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2531 จำเลยย้ายออกจากบ้านมารดาไปอยู่บ้านของจำเลยเองซึ่งปลูกใหม่ใกล้กับบ้านนายสมร ทองแปลง แต่ยังไม่มีเลขบ้านจึงไม่ได้ย้ายทะเบียนบ้านไปด้วย เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2532 จำเลยกับภริยาไปขายตุ้มหูที่จังหวัดขอนแก่นเพราะช่วงนั้นฝนแล้ง ทำนาไม่ได้ กลับมาจากจังหวัดขอนแก่น วันที่ 10 กันยายน 2532 จึงทราบจากนายสมร ทองแปลงผู้ดูแลบ้านแทนว่าถูกฟ้อง นายสุวรรณ เชื้อทอง และนายสมร ทองแปลงเป็นญาติทั้งสองฝ่าย เป็นพนักงานฝ่ายปกครองไม่มีสาเหตุกับฝ่ายใดโจทก์เองก็ยอมรับว่าพยานทั้งสองเป็นคนซื่อตรง จึงน่าเชื่อว่าพยานทั้งสองดังกล่าวเบิกความไปตามความจริง ส่วนโจทก์นั้น นอกจากนำสืบไม่ได้นำสืบปฏิเสธว่า จำเลยไม่ได้ไปขายตุ้มหูต่างจังหวัดตามที่จำเลยนำสืบแล้ว พยานโจทก์บางปากกลับเบิกความเจือสมข้อนำสืบของจำเลย เช่น นางสุธา นายแดง และโจทก์เบิกความว่า นอกจากจำเลยจะมีอาชีพทำนาแล้ว ยังมีอาชีพค้าขายตุ้มหูด้วยและบางครั้งก็เดินทางไปค้าขายต่างจังหวัด เช่นนี้ เห็นว่า พยานหลักฐานจำเลยมีน้ำหนักดีกว่าพยานโจทก์ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามที่จำเลยนำสืบว่าระหว่างจำเลยถูกฟ้องคดีนี้จำเลยไม่ได้อยู่บ้านตามฟ้อง ได้เดินทางไปค้าขายต่างจังหวัดไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง กลับจากต่างจังหวัดหลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว จึงทราบว่าถูกฟ้อง ดังนั้น การที่จำเลยไม่ได้ยื่นคำให้การและไม่ได้มาศาลในวันนัดพิจารณา จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาส่วนข้อที่โจทก์ฎีกาว่าในเดือนสิงหาคม 2532 ซึ่งเป็นเวลาหลังจากถูกฟ้องแล้วโจทก์จำเลยได้ไปทำการไกล่เกลี่ยเรื่องที่ดินที่ถูกฟ้องคดีนี้ที่บ้านมารดา จำเลยย่อมทราบถึงการถูกฟ้องในวันนั้นแล้ว ข้อนี้โจทก์มิได้กล่าวไว้ในคำคัดค้านชั้นขอพิจารณาใหม่ จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ประกอบมาตรา 247ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share