คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3537/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ทำสัญญาประกันภัยรถยนต์คันพิพาทไว้กับจำเลย โดยกำหนดวงเงินเป็นจำนวนแน่นอน ต่อมาระหว่างอายุสัญญารถยนต์คันดังกล่าวได้สูญหายไปในขณะอยู่ในความครอบครองของโจทก์ โจทก์ได้ร้องทุกข์และแจ้งให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยเสีย ถือได้ว่าฟ้องโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างอันอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว ส่วนข้อที่ว่าเป็นสัญญาประกันภัยประเภทใด กรมธรรม์เลขที่เท่าใด เริ่มคุ้มครองและสิ้นสุดเมื่อใด เป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์จะนำสืบได้ในชั้นพิจารณา แม้โจทก์จะไม่ได้แนบกรมธรรม์ประกันภัยมาด้วย แต่มีคู่ฉบับอยู่ที่จำเลยแล้ว จึงเป็นการเพียงพอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วจึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง
โจทก์ทำสัญญาเช่ารถยนต์จากบริษัท ภ. และได้นำรถยนต์ดังกล่าวไปทำสัญญาประกันภัยไว้กับจำเลยโดยให้บริษัท ภ. เป็นผู้รับประโยชน์ โดยโจทก์เป็นผู้ชำระเบี้ยประกันภัย สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก มีผลให้บุคคลภายนอกมีสิทธิจะเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้โดยตรงได้ และเมื่อสิทธิของบุคคลภายนอกได้เกิดมีขึ้นแล้ว คู่สัญญาจะเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธินั้นในภายหลังไม่ได้ตามนัยแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 374 และมาตรา 375 อย่างไรก็ดีตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวโจทก์มิได้สิ้นสิทธิที่จะฟ้องจำเลย เมื่อระหว่างระยะเวลาประกันภัยรถยนต์ดังกล่าวได้สูญหายไปขณะอยู่ในความครอบครองของโจทก์และจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา โจทก์ในฐานะเป็นคู่สัญญาจึงมีอำนาจฟ้องจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาชำระค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้รับประโยชน์ได้ โดยไม่ต้องคำนึงว่า บริษัท ภ. ผู้รับประโยชน์ได้แสดงเจตนาเข้ารับประโยชน์ตามสัญญาแล้วหรือไม่ และโจทก์ต้องรับผิดต่อผู้รับประโยชน์อยู่อีกหรือไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองรถยนต์ ยี่ห้อนิสสันเซฟีโร่หมายเลขทะเบียน ๑ ฮ – ๕๘๖๑ กรุงเทพมหานคร โดยโจทก์ได้เช่ารถยนต์คันดังกล่าวจากบริษัทภัทรลิสซิ่ง จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของผู้ถือกรรมสิทธิ์ เมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๓๖โจทก์ได้ทำสัญญาประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวกับจำเลย มีวงเงินความรับผิดจำนวนเงิน๖๐๐,๐๐๐ บาท ในกรณีรถยนต์เสียหายหรือสูญหายไม่ว่ากรณีใด ๆ อันมิใช่ความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์ โดยให้บริษัทภัทรลิสซิ่ง จำกัด เป็นผู้รับประโยชน์โจทก์เป็นผู้ชำระเบี้ยประกันภัย ต่อมาระหว่างวันที่ ๒ ถึงวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๓๖รถยนต์คันดังกล่าวได้สูญหายไป ระหว่างอยู่ในความครอบครองของโจทก์ โดยมิใช่ความประมาทเลินเล่อของโจทก์แต่ประการใดซึ่งโจทก์และบริษัทภัทรลิสซิ่ง จำกัด ได้ร้องทุกข์ไว้ที่สถานีตำรวจนครบาลดินแดงและได้แจ้งให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนแก่บริษัทภัทรลิสซิ่ง จำกัด ผู้รับประโยชน์ตามสัญญาแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย จึงได้ร้องเรียนไปยังกรมการประกันภัย ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๓๗ กรมการประกันภัยได้มีคำวินิจฉัยให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยให้แก่บริษัทภัทรลิสซิ่งจำกัด เป็นเงิน ๖๐๐,๐๐๐ บาท แต่จำเลยยังเพิกเฉย โจทก์ได้ทวงถามจำเลยแล้วแต่จำเลยยังคงเพิกเฉยเหมือนเดิม ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยมีหน้าที่ต้องชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่บริษัทภัทรลิสซิ่ง จำกัด เป็นเงิน ๖๐๐,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๓๗ ถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๓๕,๑๓๗.๖๕ บาทรวมเป็นเงิน ๖๓๕,๑๓๗.๖๕ บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน ๖๓๕,๑๓๗.๖๕บาท แก่บริษัทภัทรลิสซิ่ง จำกัด พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงิน๖๐๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๖๓๕,๑๓๗.๖๕ บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงิน ๖๐๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่บริษัทภัทรลิสซิ่ง จำกัด
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันฟังได้ยุติว่าเมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๓๖ โจทก์ได้ทำสัญญาเช่ารถยนต์ ยี่ห้อนิสสันเซฟิโร่หมายเลขทะเบียน ๑ ฮ – ๕๘๖๑ กรุงเทพมหานคร จากบริษัทภัทรลิสซิ่ง จำกัด ตามเอกสารหมาย จ.๓ และ จ.๕ ต่อมาเมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๓๖ โจทก์ได้นำรถยนต์ดังกล่าวไปทำสัญญาประกันภัยไว้กับจำเลย มีระยะเวลาประกันภัย ๑ ปี ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายหรือสูญหายใด ๆ ในวงเงิน ๖๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้บริษัทภัทรลิสซิ่ง จำกัด เป็นผู้รับประโยชน์ โจทก์เป็นผู้ชำระเบี้ยประกันภัยตามเอกสารหมายจ.๖ ต่อมาระหว่างวันที่ ๒ ถึง ๓ สิงหาคม ๒๕๓๖ ซึ่งอยู่ในระยะเวลาประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวได้สูญหายไปขณะอยู่ในครอบครองของโจทก์
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประการแรกมีว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะมิได้บรรยายให้ชัดแจ้งว่า ได้ทำสัญญาประกันภัยกับจำเลยเมื่อวันที่เท่าใด ประเภทใด จำเลยตกลงรับประกันภัยหรือไม่ กรมธรรม์เลขที่เท่าใด เริ่มคุ้มครองและสิ้นสุดเมื่อใด และมิได้แนบสัญญากรมธรรม์ประกันภัยซึ่งกฎหมายบังคับว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือมาด้วยเห็นว่า ฟ้องโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาว่า เมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน๒๕๓๖ โจทก์ได้ทำสัญญาประกันภัยรถยนต์คันพิพาทไว้กับจำเลย โดยกำหนดวงเงิน๖๐๐,๐๐๐ บาท ในกรณีรถยนต์คันดังกล่าวเสียหายหรือสูญหายไม่ว่ากรณีใด ๆ อันมิใช่ความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์ ต่อมาระหว่างวันที่ ๒ ถึงวันที่ ๓สิงหาคม ๒๕๓๖ ซึ่งอยู่ในระหว่างอายุสัญญาประกันภัย รถยนต์คันดังกล่าวได้สูญหายไปในระหว่างอยู่ในความครอบครองของโจทก์ โจทก์ได้ร้องทุกข์ไว้ที่สถานีตำรวจนครบาลดินแดงและแจ้งให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่บริษัทภัทรลิสซิ่ง จำกัดซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญา แต่จำเลยเพิกเฉยเสีย อันเป็นข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ส่วนข้อที่ว่าเป็นสัญญาประกันภัยประเภทใด กรมธรรม์เลขที่เท่าใดเริ่มคุ้มครองและสิ้นสุดเมื่อใด เป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์จะนำสืบในชั้นพิจารณาแม้โจทก์จะไม่ได้แนบกรมธรรม์ประกันภัยมาด้วย แต่มีคู่ฉบับอยู่ที่จำเลยแล้วจึงเป็นการเพียงพอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว จึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ปัญหาประการต่อไปตามฎีกาของจำเลยมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า ในขณะทำสัญญาประกันภัย โจทก์ยังไม่ได้รับมอบรถยนต์คันพิพาท โจทก์จึงยังไม่มีส่วนได้เสียตามกฎหมาย สัญญาประกันภัยไม่มีผลผูกพันคู่สัญญาทั้งบริษัทภัทรลิสซิ่ง จำกัด ผู้รับประโยชน์ได้แสดงเจตนาเข้ารับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัยแล้ว โจทก์ไม่มีความรับผิดใด ๆ อีก นั้น เห็นว่า นายฐานิส จันทร์วราภานายบรรจบ วงษา และหม่อมราชวงศ์ศศินันท์ จันทรทัต พยานโจทก์เบิกความยืนยันว่านายบรรจบ พนักงานของโจทก์ได้รับมอบรถยนต์พิพาทจากบริษัทสยามกลการ จำกัดผู้ขายเมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๓๖ อันเป็นวันเดียวกับวันทำสัญญาประกันภัย แม้ตามใบส่งมอบรถยนต์เอกสารหมาย จ.๕ ลงวันที่ทำใบส่งมอบวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๓๖แต่ในตอนท้ายลงเป็นวันที่ ๑๖/๖/๓๖ และนายทศพร สนิท พนักงานขายรถยนต์ของบริษัทสยามกลการ จำกัด เบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่า วันส่งมอบรถยนต์คือวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๓๖ แต่รับว่าบริษัทสยามกลการ จำกัด ตกลงส่งมอบรถให้ผู้ซื้อในวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๓๖ ตามใบสั่งซื้อสินค้าเอกสารหมาย จ.๑๐ ก็ระบุว่าต้องส่งมอบภายในวันดังกล่าว สอดคล้องกับคำเบิกความของหม่อมราชวงศ์ศศินันท์ซึ่งได้ลงชื่อในเอกสารหมาย จ.๕ ในฐานะตัวแทนผู้ส่งมอบว่าวันที่ ๑๖/๖/๓๖ นั้นเป็นเพียงวันที่นำเอกสารไปให้เซ็นรับเท่านั้น นอกจากนี้ บริษัทภัทรลิสซิ่ง จำกัด คิดค่าเช่าจากโจทก์เดือนละ ๒๐,๖๐๐ บาทในเดือนมิถุนายน ๒๕๓๖ นั้นได้คิดค่าเช่าเพียง ๑๙,๒๒๗บาท เนื่องจากเช่าในต้นเดือน ตั้งแต่วันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๓๖ ถึง ๓๐ มิถุนายน ๒๕๓๖ตามเอกสารหมาย จ.๓ แผ่นสุดท้าย จึงหักค่าเช่าออกไปตามจำนวนวัน ถ้าโจทก์รับมอบรถไปตั้งแต่วันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๓๖ ค่าเช่าก็ควรจะเหลือเพียงครึ่งเดียวและเมื่อจำเลยปฏิเสธความรับผิด โจทก์จึงได้ร้องเรียนไปยังกรมการประกันภัยเมื่อกรมการประกันภัยตรวจสอบข้อเท็จจริงและเอกสารต่าง ๆ แล้ว มีความเห็นว่าสัญญาซื้อขายรถยนต์คันพิพาทโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่วันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๓๖ ผู้ซื้อจึงมีสิทธิให้เช่าได้และได้ส่งมอบรถให้โจทก์ตั้งแต่วันนั้น ขณะทำสัญญาประกันภัยผู้เอาประกันภัยมีส่วนได้เสีย จำเลยต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.๙ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ขณะทำสัญญาประกันภัยนั้น โจทก์ได้ครอบครองรถพิพาทอยู่แล้วจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสีย สัญญาประกันภัยจึงมีผลสมบูรณ์ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า บริษัทภัทรลิสซิ่ง จำกัด ผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัยได้แสดงเจตนาเข้ารับประโยชน์แล้ว และโจทก์ไม่ต้องรับผิดต่อบริษัทภัทรลิสซิ่ง จำกัด แล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้นเห็นว่า สัญญาระหว่างโจทก์ จำเลย เป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก มีผลให้บุคคลภายนอกมีสิทธิจะเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้โดยตรงได้ และเมื่อสิทธิของบุคคลภายนอกได้เกิดมีขึ้นแล้ว คู่สัญญาหาอาจจะเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธินั้นในภายหลังได้ไม่ ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๗๔ และมาตรา ๓๗๕มิได้ห้ามมิให้โจทก์สิ้นสิทธิที่จะฟ้องจำเลย เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา โจทก์ในฐานะเป็นคู่สัญญาจึงมีอำนาจฟ้องจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาชำระค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้รับประโยชน์ได้ โดยไม่ต้องคำนึงว่า บริษัทภัทรลิสซิ่ง จำกัด ผู้รับประโยชน์ได้แสดงเจตนาเข้ารับประโยชน์ตามสัญญาแล้วหรือไม่ และโจทก์ต้องรับผิดอยู่ต่อผู้รับประโยชน์อีกหรือไม่
ปัญหาประการสุดท้ายตามฎีกาของจำเลยมีว่า รถยนต์พิพาทสูญหายเพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์หรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ยุติว่าโจทก์มอบหมายให้นายบรรจบเป็นผู้ครอบครองใช้รถพิพาทโดยไม่จำเป็นต้องนำมาเก็บรักษาไว้ที่บริษัทโจทก์ นายบรรจบนำรถพิพาทไปจอดไว้ที่จอดรถชั้นล่างของ ซี ออฟเลิฟ แมนชั่น ซึ่งมียามรักษาการณ์ ๓ คน ส่วนนายบรรจบมีที่พักอยู่ที่ชั้นสอง ได้ติดตั้งล็อกเกียร์และเซ็นทรัลล็อกไว้ รวมทั้งได้ทำกุญแจสำรองไว้ ๒ ชุด มอบให้นางสาวศิริลักษณ์ อร่ามวิมลจิต ซึ่งเป็นเซลของบริษัทสยามกลการ ๑ ชุด เพื่อนำรถพิพาทไปตรวจสอบตามกำหนด เห็นได้ว่านายบรรจบได้ใช้ความระมัดระวังดูแลตามสมควรตามวิสัยของวิญญูชนจะพึงกระทำ การทำกุญแจสำรองไว้เพื่อมีการสูญหายและสะดวกแก่การใช้สอยก็มิได้ฟังว่าเป็นสิ่งผิดปกติ ที่จำเลยฎีกาว่า การกระทำเช่นนั้น เป็นช่องทางให้นางสาวศิริลักษณ์เอารถพิพาทไปเสียเอง และเมื่อเกิดเหตุแล้วนายบรรจบก็มิได้สอบถามยามรักษาการณ์ และมิได้ขวนขวายติดตามเพียงแต่แจ้งความไว้เป็นหลักฐานมิได้แจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจสอบสวนบุคคลที่ต้องสงสัย ถือว่าเป็นการกระทำที่ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์นั้น เป็นความเข้าใจของจำเลยเอง ไม่มีเหตุใดที่จะส่อแสดงให้เห็นว่าเป็นเช่นนั้น ฟังไม่ได้ว่าเหตุรถยนต์พิพาทสูญหายเป็นเพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์
พิพากษายืน.

Share