คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3535/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามสัญญาซื้อขายระบุว่า ป. ซื้อรถยนต์คันเกิดเหตุในฐานะส่วนตัว มิได้ซื้อแทนห้างโจทก์หรือในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการโจทก์ ซึ่งย่อมเป็นสิทธิที่ ป. จะจัดการทรัพย์สินของตนเองได้ หาใช่ว่าหาก ป. ลงนามในนิติกรรมหรือสัญญาใด ๆ ทั้งที่มิได้ระบุว่าทำแทนโจทก์หรือในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการโจทก์แล้วจะต้องถูกผูกพันว่าเป็นการกระทำการแทนโจทก์แต่อย่างใดไม่ และการที่ ป. นำรถยนต์คันเกิดเหตุไปประกันวินาศภัยไว้กับบริษัท ส. หรือนำรถยนต์คันดังกล่าวเข้าแล่นในเส้นทางสายเชียงใหม่ – ขอนแก่นนั้น อาจเป็นวิธีจัดการทรัพย์สินส่วนตัวของ ป. ก็เป็นได้ ประกอบกับคำบรรยายฟ้องโจทก์ยืนยันว่าโจทก์เป็นผู้ซื้อรถยนต์คันเกิดเหตุมาโดยตรง โดยมิได้บรรยายว่าโจทก์ซื้อรถดังกล่าวโดยให้ ป. เป็นคู่สัญญาแทนแต่ประการใด โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดในค่าเสียหายที่เกิดขึ้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขับรถด้วยความประมาท ตัดหน้ารถยนต์โดยสารของโจทก์ในระยะกระชั้นชิด เป็นเหตุให้รถยนต์โดยสารของโจทก์พุ่งเฉี่ยวชนรถยนต์ของจำเลยที่ 1 ทำให้คนขับรถยนต์โดยสารของโจทก์ถึงแก่ความตาย และรถยนต์โดยสารของโจทก์เสียหาย จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับประกันภัยจะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้เงิน 1,856,523.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินจำนวน 1,731,300.78 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสองให้การและจำเลยที่ 2 แก้ไขคำให้การว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์โดยสารหมายเลขทะเบียน 10-2958 ขอนแก่น จึงไม่มีอำนาจฟ้องเหตุเกิดจากความประมาทของลูกจ้างโจทก์ หากจำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดก็ไม่เกินวงเงินประกันภัยจำนวน250,000 บาท และเหตุครั้งนี้จำเลยที่ 2 ถูกบริษัทพิพัทธ์ประกันภัย จำกัด ฟ้องเรียกค่าเสียหายที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้เป็นเงิน 43,537 บาท ซึ่งหากจำเลยที่ 2 ต้องชดใช้ให้ก็ต้องนำมาหักออกจากวงเงินประกันภัยดังกล่าวด้วยรถยนต์ของจำเลยที่ 1 เสียหายต้องซ่อมเป็นเงิน 200,000 บาท หากจำเลยที่ 1 มีส่วนประมาทด้วย ค่าเสียหายต้องเฉลี่ยไปตามส่วน และบริษัทสหร่วมกิจเดินรถ จำกัด เจ้าของรถยนต์โดยสารมอบอำนาจให้นายประสันต์ เขมะประสิทธิ์ ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับภริยาจำเลยที่ 1 ทำให้มูลละเมิดระงับ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์โดยสารหมายเลขทะเบียน 10-2958 ขอนแก่น คันเกิดเหตุหรือไม่ คดีได้ความตามทางนำสืบของโจทก์ว่า เดิมนายสราวุธ ยุทธพงศ์สุนทร เป็นเจ้าของรถยนต์คันเกิดเหตุ และนายสราวุธได้นำรถคันดังกล่าวเข้าแล่นร่วมกับบริษัทขนส่ง จำกัดในเส้นทางสาย 633 เชียงใหม่ – ขอนแก่น ในนามของบริษัทสหร่วมกิจเดินรถ จำกัดซึ่งเป็นผู้ได้รับสิทธิจากบริษัทขนส่ง จำกัด โดยนายสราวุธต้องซื้อสิทธิในการแล่นรถร่วมดังกล่าวจากบริษัทสหร่วมกิจเดินรถ จำกัด และต้องจดทะเบียนใส่ชื่อบริษัทสหร่วมกิจเดินรถ จำกัด เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถคันดังกล่าวตามระเบียบของบริษัทขนส่ง จำกัดต่อมานายสราวุธได้ขายรถยนต์คันเกิดเหตุและสิทธิในการเดินรถให้แก่นายประสันต์ เขมะประสิทธิ์ หุ้นส่วนผู้จัดการโจทก์ แล้วนายประสันต์ได้นำรถคันดังกล่าวเข้าแล่นในเส้นทางเชียงใหม่ – ขอนแก่น ในนามของโจทก์ และได้จดทะเบียนโอนชื่อเจ้าของรถยนต์โดยสารอีกคันหนึ่งที่ซื้อมา พร้อมกับรถยนต์คันเกิดเหตุไปเป็นชื่อโจทก์แล้ว แต่รถยนต์คันเกิดเหตุยังเปลี่ยนชื่อไม่ได้เนื่องจากติดพันคดีนี้อยู่ เห็นว่า ตามสัญญาซื้อขายระบุว่านายประสันต์ซื้อรถยนต์คันเกิดเหตุกับรถยนต์โดยสารอีกคันหนึ่งในฐานะส่วนตัวมิใช่ซื้อแทนโจทก์หรือในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการโจทก์ซึ่งเป็นสิทธิที่นายประสันต์จะดำเนินการเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินส่วนของตนได้หาใช่ว่าหากนายประสันต์ลงนามในนิติกรรมหรือสัญญาใด ๆ ทั้งที่มิได้ระบุว่าทำแทนโจทก์หรือในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการโจทก์แล้วก็จะต้องถูกผูกพันว่าเป็นการกระทำแทนโจทก์เนื่องจากนายประสันต์เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการโจทก์แต่ประการใดไม่ และการที่นายประสันต์นำรถยนต์คันเกิดเหตุไปประกันวินาศภัยไว้กับบริษัทสุขุมวิทย์ประกันภัย จำกัด หรือนำรถยนต์คันดังกล่าวเข้าแล่นในเส้นทางสายเชียงใหม่ – ขอนแก่น ในนามของโจทก์ดังที่โจทก์กล่าวอ้างในฎีกานั้น ก็อาจเป็นวิธีการจัดการเกี่ยวกับทรัพย์สินส่วนตัวของนายประสันต์ดังเช่นที่นายสราวุธเคยกระทำก่อนที่จะโอนขายรถยนต์คันเกิดเหตุให้แก่นายประสันต์ก็เป็นได้ ประกอบกับตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ก็ระบุยืนยันว่าโจทก์เป็นผู้ซื้อรถยนต์คันเกิดเหตุมาโดยตรงมิได้บรรยายว่าโจทก์ซื้อรถยนต์คันดังกล่าวโดยให้นายประสันต์เป็นคู่สัญญาแทนแต่ประการใดแล้ว พยานหลักฐานของโจทก์เท่าที่นำสืบมาจึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์คันเกิดเหตุ โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายที่จะมีอำนาจฟ้องคดีนี้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share