คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3535/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 ได้กำหนดสิทธิฟ้องคดีต่อศาลของผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนไว้เป็นการเฉพาะคือผู้ที่จะฟ้องคดีต่อศาลได้จะต้องเป็นผู้ที่ไม่พอใจคำวินิจฉัยของรัฐมนตรี หรือเมื่อรัฐมนตรีมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จสิ้นภายในเวลากำหนด เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีเสียก่อนโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาล คำว่า “มีสิทธิอุทธรณ์” ตามมาตรา 25 นั้น หมายความเพียงว่าเป็นสิทธิของผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนที่จะอุทธรณ์หรือไม่อุทธรณ์ก็ได้ มิได้หมายความว่าโจทก์มีสิทธิเลือกอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรี หรือฟ้องคดีต่อศาล เพราะสิทธิฟ้องคดีต่อศาลได้มีบัญญัติไว้แล้วในมาตรา 26

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 3384 ต่อมาได้มีพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ตำบลคลองหนึ่งอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี พ.ศ. 2530 กำหนดให้อธิการบดีของจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์และรัฐมนตรีว่าการของจำเลยที่ 1 รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ ที่ดินของโจทก์ดังกล่าวถูกเวนคืนทั้งแปลง จำเลยที่ 2 มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ไปรับเงินค่าทดแทนที่ดินที่ถูกเวนคืน จำนวน 162,787.50 บาท แต่ไม่อาจตกลงกันได้ จำเลยที่ 2 นำเงินจำนวนดังกล่าวไปวางไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์ภูมิภาคที่ 1 กรมบังคับคดี แต่โจทก์เห็นว่าเงินทดแทนนั้นไม่เป็นธรรม ดังนั้น โจทก์ไม่ประสงค์จะขอรับเงินจำนวนดังกล่าวและจะใช้สิทธิทางศาลเพื่อเรียกเงินค่าทดแทนในราคาตารางวาละ 1,500บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินค่าทดแทนจำนวน 2,170,500บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่ยื่นอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการของจำเลยที่ 1 ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งให้มารับเงินค่าทดแทน ตามพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ. 2530 มาตรา 26 จำนวนเงินค่าทดแทนที่โจทก์จะได้รับเหมาะสมแล้วและจำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยให้โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ. 2530 ซึ่งใช้บังคับในขณะเกิดกรณีพิพาทกำหนดสิทธิฟ้องคดีต่อศาลของผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนตามมาตรา 18 ไว้เป็นการเฉพาะในมาตรา 26 วรรคแรกว่า “ในกรณีที่ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนยังไม่พอใจคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีตามมาตรา 25 หรือในกรณีที่รัฐมนตรีมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดเวลาตามมาตรา25 วรรคสอง ให้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลได้ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีหรือนับแต่วันที่พ้นกำหนดเวลาดังกล่าวแล้วแต่กรณี” ซึ่งแสดงว่าผู้ที่จะฟ้องคดีต่อศาลได้นั้นจะต้องเป็นผู้ที่ไม่พอใจคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีตามมาตรา 25 หรือในเมื่อรัฐมนตรีมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 25 วรรคสอง ดังนั้น โจทก์ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนตามมาตรา 18 จึงต้องดำเนินการตามมาตรา 25 วรรคแรกซึ่งบัญญัติว่า “ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนตามมาตรา 18 ผู้ใดไม่พอใจในราคาของอสังหาริมทรัพย์หรือจำนวนเงินค่าทดแทนที่คณะกรรมการตามมาตรา 9 หรือมาตรา 23 กำหนด มีสิทธิอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกาที่ออกตามมาตรา 6 หรือรัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฉบับนั้น ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งเป็นหนังสือจากเจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่ให้มารับเงินค่าทดแทนดังกล่าว”แต่เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีตามมาตรา 25 วรรคแรกเสียก่อนโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาล ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนผู้ใดไม่พอใจจำนวนเงินค่าทดแทนมีสิทธิอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีซึ่งหมายความว่าโจทก์มีสิทธิเลือกดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด คือจะอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีหรือจะฟ้องคดีต่อศาลก็ได้นั้นเห็นว่า คำว่า “มีสิทธิ” อุทธรณ์ตามมาตรา 25 นั้น หมายความเพียงว่าเป็นสิทธิของผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนที่จะอุทธรณ์หรือไม่อุทธรณ์ก็ได้ แต่มิได้หมายความว่าโจทก์มีสิทธิเลือกอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีหรือฟ้องคดีต่อศาลดังที่โจทก์ฎีกา เพราะสิทธิการฟ้องคดีต่อศาลได้มีบัญญัติไว้แล้วในมาตรา 26 ดังที่ศาลฎีกาวินิจฉัยมาแล้ว ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลดังที่วินิจฉัยมาแล้ว ปัญหาตามฎีกาของโจทก์ข้ออื่นไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลของคดีนี้ได้ จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 149 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายืน

Share