คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3535/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530ซึ่งใช้บังคับในขณะเกิดกรณีพิพาทกำหนดสิทธิฟ้องคดีต่อศาลของผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนตามมาตรา 18ไว้เป็นการเฉพาะในมาตรา 26 ว่า ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนที่จะฟ้องคดีต่อศาลได้นั้นจะต้องเป็นผู้ที่ไม่พอใจคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีตามมาตรา 25 หรือในเมื่อรัฐมนตรีมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 25 วรรคสอง ดังนั้นโจทก์ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนตามมาตรา 18 จึงต้องดำเนินการอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีภายในเวลาที่กำหนดตามมาตรา 25 วรรคแรก แต่โจทก์มิได้อุทธรณ์ ต่อรัฐมนตรีตามมาตรา 25 วรรคแรก เสียก่อน จึงไม่มีสิทธิ ฟ้องคดีต่อศาล คำว่ามีสิทธิอุทธรณ์ ตามมาตรา 25 หมายความเพียงว่าเป็นสิทธิของผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนที่จะอุทธรณ์หรือไม่อุทธรณ์ก็ได้ มิได้หมายความว่าผู้มีสิทธิได้รับเงิน ค่าทดแทนมีสิทธิเลือกอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีหรือฟ้องคดีต่อศาล เพราะสิทธิการฟ้องคดีต่อศาลได้มีบัญญัติไว้แล้วในมาตรา 26

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 3384 ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานีเนื้อที่ 3 ไร่ 2 งาน 27 ตารางวา เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2530ได้มีพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ตำบลคลองหนึ่งอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี พ.ศ. 2530 ที่ดินของโจทก์ถูกเวนคืนทั้งแปลง เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2530 จำเลยที่ 2มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ไปรับเงินค่าทดแทนที่ดินที่ถูกเวนคืนแต่ไม่อาจตกลงกันได้ ต่อมาจำเลยที่ 2 นำเงินจำนวน 162,787.50 บาทไปวางไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์ภูมิภาคที่ 1 กรมบังคับคดีและโจทก์ได้รับแจ้งให้ไปรับเงิน แต่โจทก์เห็นว่าเงินทดแทนนั้นไม่เป็นธรรม โจทก์จึงไปโต้แย้งสิทธิที่สำนักงานวางทรัพย์ภูมิภาคที่ 1 และแจ้งว่าไม่ประสงค์จะขอรับเงินจำนวนดังกล่าว และจะใช้สิทธิทางศาลเพื่อเรียกเงินค่าทดแทน ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินค่าทดแทนจำนวน 2,170,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่ยื่นอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการของจำเลยที่ 1 ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งให้มารับเงินค่าทดแทน ตามพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 26 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องคดีโดยมิได้ยื่นอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการของจำเลยที่ 1 ภายในหกสิบวัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งเป็นหนังสือให้มารับเงินค่าทดแทน ตามพระราชบัญญัติเวนคืน โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ. 2530 ซึ่งใช้บังคับในขณะเกิดกรณีพิพาทกำหนดสิทธิฟ้องคดีต่อศาลของผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนตามมาตรา 18 ไว้เป็นการเฉพาะในมาตรา 26 วรรคแรกว่า “ในกรณีที่ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนยังไม่พอใจคดวินิจฉัยของรัฐมนตรีตามมาตรา 25 หรือในกรณีที่รัฐมนตรีมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 25 วรรคสอง ให้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลได้ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีหรือนับแต่วันที่พ้นกำหนดเวลาดังกล่าว แล้วแต่กรณี” ซึ่งแสดงว่าผู้ที่จะฟ้องคดีต่อศาลได้นั้นจะต้องเป็นผู้ที่ไม่พอใจคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีตามมาตรา 25 หรือในเมื่อรัฐมนตรีมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 25 วรรคสอง ดังนั้น โจทก์ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนตามมาตรา 18 จึงต้องดำเนินการตามมาตรา 25 วรรคแรก ซึ่งบัญญัติว่า “ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนตามมาตรา 18 ผู้ใดไม่พอใจในราคาของอสังหาริมทรัพย์หรือจำนวนเงินค่าทดแทนที่คณะกรรมการตามมาตรา 9 หรือมาตรา 23 กำหนด มีสิทธิอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกาที่ออกตามมาตรา 6หรือรัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฉบับนั้นภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งเป็นหนังสือจากเจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่ให้มารับเงินค่าทดแทนดังกล่าว” แต่เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีตามมาตรา 25 วรรคแรก เสียก่อน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาล ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนผู้ใดไม่พอใจจำนวนเงินค่าทดแทนมีสิทธิอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีซึ่งหมายความว่าโจทก์มีสิทธิเลือกดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด คือจะอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีหรือจะฟ้องคดีต่อศาลก็ได้นั้น เห็นว่า คำว่ามีสิทธิอุทธรณ์ตามมาตรา 25 นั้น หมายความเพียงว่าเป็นสิทธิของผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนที่จะอุทธรณ์หรือไม่อุทธรณ์ก็ได้แต่มิได้หมายความว่าโจทก์มีสิทธิเลือกอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรี หรือฟ้องคดีต่อศาลดังที่โจทก์ฎีกา เพราะสิทธิการฟ้องคดีต่อศาลได้มีบัญญัติไว้แล้วในมาตรา 26 ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share