คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3524/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยก่อสร้างอาคารผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นในขณะที่ใบอนุญาตให้ก่อสร้างยังไม่หมดอายุนั้น เป็นการกระทำความผิดสำเร็จไปแล้วกรรมหนึ่ง และเมื่อครบกำหนดในใบอนุญาตให้ก่อสร้างจำเลยไม่ต่อใบอนุญาตก่อสร้าง แต่ยังคงก่อสร้างต่อไปอีก อันเป็นการก่อสร้างในขณะที่ใบอนุญาตให้ก่อสร้างหมดอายุ จึงเป็นการก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 21,65,69 และ71 อีกกรรมหนึ่ง จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 7 ที่ 8 และที่ 9 ให้การปฏิเสธทั้งในชั้นสอบสวนและในชั้นศาล ไม่มีเหตุบรรเทาโทษ ซึ่งเป็นเหตุเฉพาะตัว ศาลอุทธรณ์พิพากษาลดโทษให้จึงไม่ถูกต้อง แต่โจทก์มิได้ฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่อาจแก้ไขให้เป็นอย่างอื่นได้ เพราะจะเป็นการพิพากษาเกินคำขอในฟ้องฎีกาของโจทก์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้ง 9 คนตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 21, 22, 31, 40, 42, 43, 65, 67,69, 70, 71, 72, 79, 80 ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 ลงวันที่ 8 มีนาคม 2522 ข้อ 30, 76ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2526 มาตรา 4 และขอให้สั่งปรับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 เป็นรายวันตามกฎหมายนับตั้งแต่วันฝ่าฝืนคำสั่งจนถึงวันฟ้องและนับจากวันถัดจากวันฟ้องจนถึงวันที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 จะได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายและตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่น
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และจำเลยที่ 7 ถึงที่ 9 มีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522มาตรา 4, 21, 22, 31, 40, 42, 43, 65, 67, 69, 70ประกอบด้วยมาตรา 71, 72 ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 ลงวันที่ 8 มีนาคม 2522ข้อ 30, 76 ในข้อหาความผิดฐานก่อสร้างอาคารเพื่อพาณิชยกรรมให้ผิดไปจากแผนผังบริเวณแบบแปลนและรายการประกอบแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตตามฟ้องโจทก์ ข้อ ก. และในข้อหาความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งให้ระงับการก่อสร้างและให้รื้อถอนอาคาร ส่วนที่ไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องได้ตลอดจนคำสั่งให้แก้ไขอาคารส่วนที่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องได้ สำหรับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และที่ 7ที่ 8 ตามฟ้องโจทก์ข้อ ค. ข้อ ง. และ ข้อ จ. เป็นความผิดสืบเนื่องเชื่อมโยงซ้ำซ้อนกับข้อหาความผิดตามฟ้อง ข้อ ก. จึงเป็นกรรมเดียวกันอันเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักในข้อหาความผิดฐานก่อสร้างอาคารเพื่อพาณิชยกรรมให้ผิดไปจากแผนผังบริเวณแบบแปลนและรายการประกอบแบบที่ได้รับอนุญาตตามฟ้อง ข้อ ก.ตามมาตรา 22, 31, 65, 69 และ 71 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 สำหรับจำเลยที่ 1 ปรับ 100,000 บาท และปรับตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนวันละ 10,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2526ถึงวันฟ้องระยะหนึ่งรวม 1,395 วัน เป็นเงิน 13,950,000 บาท และปรับวันละ 10,000 บาท ตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะได้รื้อถอนหรือปฏิบัติให้ถูกต้อง ส่วนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 และที่ 7 ถึงที่ 8 จำคุกคนละ 6 เดือนและปรับคนละ 100,000 บาท และปรับตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนวันละ 10,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 10กุมภาพันธ์ 2526 ถึงวันฟ้องระยะหนึ่งรวม 1,395 วัน เป็นเงินคนละ13,950,000 บาท และปรับวันละ 10,000 บาท ตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะได้รื้อถอนหรือปฏิบัติให้ถูกต้องสำหรับจำเลยที่ 9 จำคุก 6 เดือน และปรับ 40,000 บาท และปรับตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนวันละ 5,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 10กุมภาพันธ์ 2526 ถึงวันฟ้องระยะหนึ่งรวม 1,395 วัน เป็นเงิน6,975,000 บาท และปรับวันละ 5,000 บาท ตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะได้รื้อถอนหรือปฏิบัติให้ถูกต้อง และในข้อหาความผิดฐานร่วมกันก่อสร้างอาคารเพื่อการพาณิชยกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาตตามฟ้องโจทก์ข้อ ข.อีกกระทงหนึ่ง จำเลยที่ 1 ปรับ 40,000บาท และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 กับจำเลยที่ 7 ถึงที่ 8 จำคุกคนละ 6เดือน และปรับคนละ 40,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 9 จำคุก 6 เดือนและปรับ 20,000 บาท รวมแล้วปรับจำเลยที่ 1 จำนวน14,090,000 บาท และปรับตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนวันละ 10,000 บาทตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะได้รื้อถอนหรือปฏิบัติให้ถูกต้อง จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 กับที่ 7 ถึงที่ 8 จำคุกคนละ 12 เดือนและปรับคนละ 14,090,000 บาท และปรับตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนวันละ10,000 บาท นับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะได้รื้อถอนหรือปฏิบัติให้ถูกต้อง จำเลยที่ 9 จำคุก 12 เดือน และปรับ 7,035,000บาท และปรับตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนวันละ 5,000 บาท นับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะได้รื้อถอนหรือปฏิบัติให้ถูกต้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 และจำเลยที่ 7 ถึงที่ 9 ไม่เคยรับโทษจำคุกมาก่อน อาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 1 ปีไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 โดยให้กักขังแทนค่าปรับมีกำหนดสองปี สำหรับจำเลยที่ 6 ให้ยกฟ้องโจทก์
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนและทางพิจารณาจำเลยที่ 1 และที่ 2 นำสืบรับเข้ามาซึ่งเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่มาก นับเป็นเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คนละกึ่งหนึ่ง คงปรับจำเลยที่ 1 จำนวน 50,000 บาท และปรับตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอีกวันละ 5,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 26มกราคม 2527 จนกว่าจะได้รื้อถอนหรือปฏิบัติให้ถูกต้องจำคุกจำเลยที่ 2 กำหนด 3 เดือน และปรับ 50,000 บาท และปรับตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอีกวันละ 5,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม 2527จนกว่าจะรื้อถอนหรือปฏิบัติให้ถูกต้อง ปรับจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5ที่ 7 และที่ 8 ตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนคนละวันละ 10,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม 2527 จนกว่าจะรื้อถอนหรือปฏิบัติให้ถูกต้องและปรับจำเลยที่ 9 ตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนวันละ 5,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม 2527 จนกว่าจะรื้อถอนหรือปฏิบัติให้ถูกต้องเฉพาะจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับให้บังคับตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29 ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5ที่ 7 ที่ 8 และที่ 9 ในข้อหาความผิดฐานร่วมกันก่อสร้างอาคารเพื่อพาณิชยกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาตตามฟ้องข้อ ข. เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล มีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 เป็นกรรมการ จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตให้ปลูกสร้างอาคารพาณิชยกรรมและพักอาศัยเป็นตึกแถว 2 ชั้นมีดาดฟ้า จำนวน 84 ห้อง กำหนดให้ก่อสร้างเสร็จภายในวันที่ 9กุมภาพันธ์ 2527 โดยมีจำเลยที่ 9 กับพวกเป็นผู้ควบคุมงานก่อสร้างก่อนใบอนุญาตหมดอายุประมาณ 15 วัน เจ้าหน้าที่สำนักงานเขตดุสิตได้ไปตรวจสถานที่ก่อสร้าง ปรากกว่าได้มีการปลูกสร้างอาคารผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตโดยปลูกสร้างอาคารแถวเอ 8 ห้อง เป็น3 ชั้น และไม่มีชั้นลอยอาคารแถวดี สร้างเกินที่ได้รับอนุญาต 2 ห้องและในห้องที่ 7 ที่ 8 มีการก่อสร้างเป็น 3 ชั้น และต่อเติมทับที่ว่างทางเดินหลังอาคาร ส่วนอาคารแถวซีและอียังไม่ได้ก่อสร้างจึงสั่งให้จำเลยที่ 1 แก้ไขให้ถูกต้องและให้ไปต่อใบอนุญาต ต่อมาเดือนพฤษภาคม 2527 เจ้าหน้าที่สำนักงานเขตดุสิต ได้มาตรวจอีกครั้งพบว่าไม่มีการแก้ไขอาคารส่วนที่ก่อสร้างผิดแบบแปลนและไม่ได้ต่อใบอนุญาตซึ่งหมดอายุแล้วแต่ยังคงมีการก่อสร้างอาคารต่อไปอีก ผู้อำนวยการเขตดุสิตจึงได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ 1 ดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องภายใน 30 วัน จำเลยที่ 1 ทราบคำสั่งแล้วแต่จำเลยที่ 1 กับพวกเพิกเฉยและยังคงก่อสร้างอาคารต่อจนแล้วเสร็จมีปัญหาตามที่โจทก์ฎีกาว่า การที่จำเลยที่ 1 กับพวกปลูกสร้างอาคารผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตตั้งแต่ใบอนุญาตยังไม่หมดอายุและเมื่อใบอนุญาตหมดอายุแล้วยังคงทำการปลูกสร้างอาคารผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตจนกระทั่งก่อสร้างเสร็จดังนี้ จะเป็นความผิดกรรมเดียวหรือสองกรรม เห็นว่า โจทก์ฟ้องและนำสืบฟังได้ว่าเมื่อระหว่างวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2526 ถึงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2527ซึ่งอยู่ในอายุใบอนุญาตก่อสร้าง จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4ที่ 5 ที่ 7 ที่ 8 และที่ 9 กับพวกอีก 1 คน ได้ร่วมกันก่อสร้างอาคารเพื่อพาณิชยกรรมและพักอาศัยดังกล่าวให้ผิดไปจากแผนผังบริเวณ แบบแปลนและรายการประกอบแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต และขัดต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522เจ้าพนักงานท้องถิ่นสั่งให้แก้ไขรื้อถอนและสั่งให้ระงับการก่อสร้างจำเลยที่ 1 ทราบคำสั่งแล้วไม่ปฏิบัติตาม ดังนั้นการที่จำเลยก่อสร้างอาคารผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นเป็นการกระทำความผิดสำเร็จไปแล้วกรรมหนึ่งและเมื่อครบกำหนดในใบอนุญาตให้ก่อสร้างซึ่งให้แล้วเสร็จเป็นวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2527แล้ว จำเลยไม่ต่อใบอนุญาตก่อสร้าง แต่ยังคงก่อสร้างต่อไปอีกอันเป็นการก่อสร้างในขณะที่ใบอนุญาตให้ก่อสร้างหมดอายุ จึงเป็นการก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 21, 65, 69 และ 71 อีกกรรมหนึ่งต่างไปจากกรรมแรกที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าเป็นความผิดกรรมเดียวกันไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาที่โจทก์ฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน แต่ให้การปฏิเสธต่อศาล จึงไม่มีเหตุสมควรลดโทษให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละกึ่งหนึ่งนั้น เห็นว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน และในชั้นพิจารณาจำเลยที่ 2 ก็นำสืบรับว่าได้ก่อสร้างผิดไปจากแบบแปลนจริงซึ่งเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ที่ศาลอุทธรณ์ลดโทษให้จำเลยที่ 1และที่ 2 ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลดโทษให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 7 ที่ 8 และที่ 9 ด้วย นั้น ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 7 ที่ 8 และที่ 9 ให้การปฏิเสธทั้งในชั้นสอบสวนและในชั้นศาล ไม่มีเหตุบรรเทาโทษ ซึ่งเป็นเหตุเฉพาะตัวศาลอุทธรณ์พิพากษาลดโทษให้แก่จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 7 ที่ 8และที่ 9 จึงไม่ถูกต้องแต่โจทก์มิได้ฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่อาจแก้ไขให้เป็นอย่างอื่นได้เพราะจะเป็นการพิพากษาเกินคำขอในฟ้องฎีกาของโจทก์”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 7ที่ 8 และที่ 9 มีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522มาตรา 21, 65, 69 และ 71 ด้วยอีกกรรมหนึ่ง ลงโทษจำเลยที่ 1ปรับ 40,000 บาท จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 7 ที่ 8 จำคุกคนละ 6 เดือน และปรับคนละ 40,000 บาท จำเลยที่ 9 จำคุก 6 เดือนและปรับ 20,000 บาท จำเลยที่ 1 ที่ 2 ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำเลยที่ 1 ปรับ 20,000 บาท จำเลยที่ 2 จำคุก 3 เดือน ปรับ 20,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share