แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องของโจทก์ที่บรรยายระบุตัวบุคคลผู้เสียหายที่ถูกข่มขืนกระทำชำเราว่า คือ “นางสาวลำไย+ ” โดยไม่ได้บรรยายต่อไปว่า “ผู้เสียหายมิใช่ภรรยาของจำเลย”นั้น เป็นฟ้องที่บรรยายแสดงความหมายครบองค์ความาผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 และเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5) แล้ว เพราะคำว่า “นางสาว” แสดงอยู่ในตัวแล้วว่า เป็นหญิงที่ยังไม่มีสามี และไม่ได้เป็นภริยาของผู้ใด รวมทั้งจำเลยด้วย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกที่ยังจับตัวไม่ได้อีกประมาณ ๘ คน ข่มขืนกระทำชำเรานางสาวลำไย จันสะล้ำ โดยจำเลยกับพวกใช้กำลังและอาวุธขู่เข็ญจะทำอันตรายแก่นางสาวลำไย จันสะล้ำ เป็นเหตุให้นางสาวลำไยจันสะล้ำ ไม่สามารถจะขัดขืนได้จำเลยกับพวกผลัดกันข่มขืนกระทำชำเรานางสาวลำไย จันสะล้ำจนสำเร็จความใคร่ ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๗๖,๒๘๑ และ ๘๓
จำเลยที่ ๑ ให้การรับสารภาพ จำเลยที่ ๒ ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์มิได้บรรยายมาในฟ้องว่าผู้เสียหายมิใช่ภรรยาของจำเลย ซึ่งเป็นองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๗๖ ฟ้องของโจทก์ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘(๕) แม้จำเลยที่ ๑ จะรับสารภาพก็เอาผิดแก่จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ มิได้ ให้ยกฟ้องโจทก์โดยไม่พิจารณาข้อเท็จจริง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘(๕) แล้ว พิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาข้อเท็จจริง แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์ซึ่งระบุตัวบุคคลที่ได้รับความเสียหายว่าคือ นางสาวลำไย จันสะล้ำ นั้น ย่อมเป็นที่ขเ้าใจกันโดยทั่วไปแล้วว่า ผู้เสียหายเป็นหญิงที่ยังไม่มีสามี และมิได้เป็นภริยาของผู้ใดรวมทั้งจำเลยด้วย จึงเห็นว่าฟ้องของโจทก์ได้บรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับผู้เสียหายพอให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วว่าผู้เสียหายไม่ใช่ภริยาของจำเลย ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่บรรยายครบองค์ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๗๖ และเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘(๕) แล้วฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.