คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 352/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้รับพินัยกรรมบ้านพิพาท ซึ่งเป็นคู่สัญญาผู้ให้เช่าโดยตรงกับจำเลยซึ่งเป็นผู้เช่า ทั้งได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการควบคุมค่าเช่าฯ ลงมติยินยอมให้ผู้เช่าเข้าอยู่ได้ ทั้งนี้แม้เจ้าของบ้านพิพาทเดิมซึ่งเป็นผู้ทำพินัยกรรมยกให้นั้นยังไม่ตาย ผู้รับพินัยกรรมดังกล่าวก็ย่อมมีสิทธิเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยได้
หญิงมีสามีที่ได้ยื่นฟ้องไว้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากสามี หากสามีได้ทำใบยินยอมอนุญาตยื่นต่อศาล ในระหว่างพิจารณาและศาลได้รับไว้ ก็ถือว่าเป็นการแก้ไขข้อบกพร่องตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 56 แล้ว

ย่อยาว

ได้ความว่า บ้านพิพาทเป็นของ ผ. ๆ ได้ทำพินัยกรรมยกให้โจทก์ แต่ ผ.ยังมีชีวิตอยู่ จำเลยได้ทำสัญญาเช่าจากโจทก์ บัดนี้โจทก์๖้องการจะเข้าอยู่อาศัยเอง ได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการควบคุมการเช่า คณะกรรมการฯ ลงมติยินยอมให้โจกท์เข้าอยู่ได้ โจทก์จึงมาฟ้องยับไล่จำเลยและบริวาร จำเลยให้การต่อสู้หลายประการ
ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องกับศาลชั้นต้นที่พิพากษากลับให้ขับไล่จำเลยและบริวาร
จำเลยฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า โจทก์ยังไม่มีกรรมสิทธิในทรัพย์สินรายนี้ จึงไม่มีสิทธิขอมติจากคณะกรรมการและโจทก์เป็นหญิงมีสามีฟ้องคดีโดยไม่ได้รับความยินยอมจากสามีกับว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนอกสำนวน
ศาลฎีาเห็นว่า ปรากฏตามสัญญาเช่าว่า โจทก์เป็นคู่สัญญาให้ผู้เช่าโดยตรงกับจำเลย และคณะกรรมการควบคุมค่าเช่าก็รับพิจาณณากรณีของโจทก์ตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าแล้ว จำเลยจะอ้างเรื่องกรรมสิทธิ์เพื่อประโยชน์แก่ตนเองหาได้ไม่ ส่วนในเรื่องอำนาจฟ้อง ปรากฏว่า ในระหว่างพิจารณาสามีโจทก์ได้ทำใบยินยอมอนุญาตให้โจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นที่พอใจของศาลตามป.ม.วิ.แพ่งมาตรา ๕๖ แล้ว และศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยนอกสำนวน
พิพากษายืน

Share