คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 425/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ก่อนเกิดเหตุจำเลยกับผู้ตายร่วมดื่มสุรากันในปริมาณที่ มาก พอจะทำให้เมาสุราได้ การที่จำเลยใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายด้านหลังเพียง 1 ที น่าจะเกิดเพราะความมึนเมาสุรา เพราะถ้าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย จำเลยน่าจะแทงผู้ตายซ้ำได้เพราะจำเลยมีโอกาสที่จะกระทำได้ ประกอบกับบาดแผลของผู้ตายกว้างเพียง1.5 เซนติเมตร แพทย์ผู้ชันสูตรบาดแผลไม่ได้วัดว่าแผลลึกถึงหัวใจ และตัดเส้นเลือดใหญ่ในปอดของผู้ตายหรือไม่ ทั้งไม่ปรากฏว่ามีดที่ใช้ประทุษร้ายผู้ตายมีขนาดเท่าใด จึงไม่พอฟังว่าจำเลยแทงผู้ตายโดยมีเจตนาฆ่า.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้มีดปลายแหลมแทงนายรี คำแหง 1 ครั้งถูกบริเวณลำตัวด้านหลังเป็นเหตุให้นายรีถึงแก่ความตาย โดยจำเลยมีเจตนาฆ่า ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 จำคุก 20 ปี คำเบิกความของจำเลยมีประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 15 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรก จำคุก 10 ปี คำเบิกความของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 7 ปี6 เดือน
โจทก์ จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “สำหรับปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวหรือไม่ จำเลยต่อสู้ว่า ขณะร่วมวงดื่มสุรากับผู้ตายกับพวกมีการเล่นพนันไฮโลโดยผู้ตายเป็นเจ้ามือ จำเลยแทงถูก แต่ผู้ตายไม่ยอมจ่ายจึงมีการโต้เถียงกันขึ้น ผู้ตายมีความประพฤติไม่เรียบร้อยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน ได้ทำร้ายและจะใช้มีดแทงจำเลยจำเลยแย่งมีดมาได้จึงแทงไปหนึ่งครั้ง ไม่ทราบว่าถูกใครวันรุ่งขึ้นจึงทราบว่าผู้ตายถึงแก่ความตาย ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่าผู้ตายทำร้ายจำเลยและจะใช้มีดแทงจำเลยนั้น จำเลยกล่าวอ้างมาลอย ๆ ไม่มีพยานมานำสืบสนับสนุน ส่วนพยานโจทก์ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดเหตุการณ์และเป็นผู้ร่วมวงดื่มสุรากับจำเลยและผู้ตายคือนายเนิน สาลีทอง นายบุญรอดมีลายงาม เบิกความเป็นทำนองเดียวกันว่า ขณะร่วมดื่มสุรากันจำเลยพูดกับผู้ตายด้วยเสียงดังจนนายบุญเหลือ เพิ่มนิตย์ เข้ามาห้ามไม่ให้ส่งเสียงดัง ครู่ต่อมาได้ยินผู้ตายร้องว่าถูกแทงจึงหันไปดูเห็นจำเลยยืนถือมีดอยู่ข้างหลังผู้ตาย จึงฟังไม่ได้ว่าผู้ตายได้ทำร้ายร่างกายจำเลยและผู้ตายจะใช้มีดแทงจำเลย อันเป็นเหตุให้จำเลยต้องแย่งมีดจากผู้ตาย จึงไม่มีการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายที่จำเลยจะต้องป้องกันสิทธิของตน สำหรับปัญหาว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายหรือจำเลยไม่มีเจตนาฆ่า แต่ได้ทำร้ายผู้ตายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายนั้น ข้อเท็จจริงจากพยานโจทก์ที่นำสืบมาทั้งหมดฟังเป็นยุติได้ว่าก่อนเกิดเหตุจำเลยกับผู้ตายได้ร่วมดื่มสุราในปริมาณที่มากพอจะทำให้เมาสุราได้ เพราะได้ความจากนายบุญเหลือว่ามีเสียงดังมาจากวงสุราจึงมาห้ามไม่ให้ส่งเสียงดังและยังได้ความจากนายเนิน นายบุญรอด พยานโจทก์ว่า เห็นจำเลยยืนถือมีด แต่ก็ไม่มีใครห้ามแล้วจำเลยเดินหนีไปตามพฤติการณ์น่าเชื่อว่าการที่จำเลยใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายด้านหลังเพียง 1 ทีน่าจะเกิดจากความมึนเมาสุราเพราะถ้าจำเลยมีเจตนาจะฆ่าผู้ตาย จำเลยน่าจะแทงผู้ตายซ้ำได้เพราะจำเลยมีโอกาสที่จะกระทำได้ ประกอบกับบาดแผลของผู้ตายมีความกว้างเพียง 1.5 เซนติเมตร และปรากฏจากคำเบิกความของนายกิตติ ตันติวงศ์กานต์ พยานโจทก์ซึ่งเป็นแพทย์ผู้ชันสูตรบาดแผลว่าไม่ได้วัดว่าแผลลึกถึงหัวใจ และตัดเส้นเลือดใหญ่ในปอดของผู้ตายหรือไม่ ทั้งไม่ปรากฏว่า มีดอันเป็นอาวุธร้ายแรงโดยมีเจตนาฆ่าดังนั้น การกระทำของจำเลยจึงมิได้มีเจตนาที่จะฆ่าผู้ตาย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าจำเลยมีเพียงเจตนาทำร้ายผู้ตายเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์จำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share