คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3518/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คแล้วมีผู้มีชื่อนำมาชำระหนี้โจทก์ โจทก์ลงวันที่ในเช็คนำไปเรียกเก็บเงินแต่เรียกเก็บไม่ได้ และได้บอกกล่าวทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คแล้วจำเลยเพิกเฉยทำให้โจทก์เสียหาย ดังนี้ ฟ้องของโจทก์แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาคำบังคับ กับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วไม่จำเป็นจะต้องบรรยายว่ารับเช็คพิพาทมาจากใครชื่อใด ในฐานะอะไร ชำระหนี้ค่าอะไร เพราะเป็นรายละเอียดที่พึงจะนำสืบในชั้นพิจารณาฟ้องของโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินตามเช็คที่จำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าได้รับเช็คมาจากใคร ชำระหนี้ค่าอะไร รับเช็คในฐานะอะไร และรับมาเมื่อใดฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินให้โจทก์ 64,400 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 60,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะใช้เงินเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีประเด็นข้อวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ในประเด็นข้อนี้ โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็ค แล้วมีผู้มีชื่อนำมาชำระหนี้โจทก์ โจทก์ลงวันที่ในเช็คนำไปเรียกเก็บเงินแต่เรียกเก็บเงินไม่ได้ และได้บอกกล่าวทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คแล้วจำเลยเพิกเฉยทำให้โจทก์เสียหาย ดังนี้ เห็นว่าฟ้องของโจทก์แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาคำขอบังคับ กับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องบรรยายว่ารับเช็คพิพาทมาจากใคร ชื่อใด ในฐานะอะไร ชำระหนี้ค่าอะไรเพราะเป็นรายละเอียดที่พึงจะนำสืบในชั้นพิจารณา ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม”
พิพากษายืน

Share