แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 104 ศาลมีอำนาจงดสืบพยานจำเลยได้ในเมื่อเห็นว่าข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะให้ฟังเป็นยุติได้แล้ว
อำนาจในการที่จะวินิจฉัยว่าพยานที่นำมาสืบแล้ว เป็นอันเพียงพอยุติได้หรือไม่เป็นอำนาจของศาล เมื่อศาลใช้ดุลพินิจว่าเพียงพอยุติได้แล้วจำเลยฎีกาโต้เถียงว่ายังไม่ควรยุติ ย่อมเป็นการฎีกาโต้เถียงดุลพินิจของศาลอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งจำเลยไม่มีสิทธิฎีกา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลขับไล่จำเลยออกจากห้องแถวของโจทก์ซึ่งโจทก์ได้บอกเลิกการเช่าแก่จำเลยโดยชอบแล้ว
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์บอกเลิกการเช่าโดยไม่ชอบโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะข้อกฎหมายที่ว่าศาลสั่งงดสืบพยานจำเลยโดยไม่ให้เลื่อนคดีไปอีกนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๐๔ บัญญัติว่า ให้ศาลมีอำนาจเต็มที่ในอันที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบมานั้นจะเกี่ยวกับประเด็นและเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่ แล้วพิพากษาคดีไปตามนั้นฉะนั้น ศาลจึงมีอำนาจงดสืบพยานจำเลยได้ในเมื่อเห็นว่าข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะให้ฟังเป็นยุติได้แล้ว
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยยังมีพยานอีก ๔ ปาก ซึ่งจะเบิกความเกี่ยวกับข้อเท็จจริงในเรื่องการบอกเลิกสัญญาเช่า ศาลชั้นต้นไม่ควรสั่งตัดพยานนั้น เห็นว่าอำนาจในการที่จะวินิจฉัยว่าพยานที่นำมาสืบแล้วเป็นอันเพียงพอยุติได้หรือไม่ เป็นอำนาจของศาล เมื่อศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยว่าเพียงพอยุติได้แล้ว จำเลยฎีกาว่ายังไม่ควรยุติ ย่อมเป็นการฎีกาโต้เถียงดุลพินิจของศาลอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งจำเลยไม่มีสิทธิฎีกาได้
พิพากษายืน