คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 351/2526

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยฉุดคร่าผู้เสียหายจากทางเดินพาเข้าไปในทุ่งนาข่มขืนกระทำชำเราแล้วก็ทิ้งผู้เสียหายไว้ ณ ที่เกิดเหตุ แสดงว่าจำเลยพาไปเพื่อจะกระทำชำเราเท่านั้นหาได้มีเจตนาพาหรือแยกเอาผู้เสียหายไปจากความปกครองดูแลของบิดามารดาผู้เสียหายไม่ จึงไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ตาม ป.อ.ม.318 ด้วย
การพรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดามารดาผู้ปกครองหรือผู้ดูแลผู้กระทำไม่จำต้องมีเจตนาเพื่อการอนาจาร หรือทำให้ผู้เยาว์ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ก็เป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องเฉพาะเรื่องพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร โดยไม่บรรยายให้ปรากฏการกระทำตาม ป.อ. ม.284 และ ม.310 ที่ขอให้ลงโทษมาท้ายฟ้องด้วยจึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. ม.158 ศาลจะปรับบทลงโทษตามมาตราดังกล่าวไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2524 เวลากลางคืน ก่อนเที่ยง จำเลยกับนายประสิทธิ์ หรือสิทธิ์ แสงเงิน ซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้องได้ร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันคือ

ก. ร่วมกันพรากนางสาวปัทมา จันทร์เมืองไทย ผู้เยาว์อายุ 16 ปี ไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารโดยนางสาวปัทมา จันทร์เมืองไทย ไม่เต็มใจไปด้วย

ข. ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเรานางสาวปัทมา จันทร์เมืองไทย โดยใช้อาวุธปืนและใช้กำลังกายกอดปล้ำ ทุบตีประทุษร้ายนางสาวปัทมา จันทร์เมืองไทย จนอยู่ในภาวะไม่สามารถขัดขืนได้

ค. หลังจากกระทำผิดในข้อ ก.ข. แล้ว ได้ร่วมกันบีบคอนางสาวปัทมาจันทร์เมืองไทย โดยมีเจตนาฆ่าเพื่อปกปิดการกระทำผิดของตนแต่ไม่บรรลุผลเพราะนางสาวปัทมา จันทร์เมืองไทย เพียงสลบไป ไม่ถึงแก่ความตายดังเจตนาของจำเลยกับพวก

เหตุทั้งหมดเกิดที่ตำบลที่วัง อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 284, 288, 289(7),310, 318, 80, 83 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 7, 10, 12

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยไม่มีเจตนาพรากผู้เสียหาย ไปจากบิดามารดา เป็นการพาไปเพื่อข่มขืนกระทำชำเรา ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า หลังจากข่มขืนกระทำชำเราแล้วจำเลยได้ทำร้ายผู้เสียหายอีกโดยมีเจตนาฆ่า จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้เสียหายสลบไปเท่านั้น โดยพวกของจำเลยมีและใช้อาวุธปืน พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 จำคุก 5 ปี ตามมาตรา 276 วรรคสอง จำคุก 20 ปี รวมจำคุก 25 ปี ข้อหานอกนั้นให้ยกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยทุกข้อหาตามฟ้อง

จำเลยอุทธรณ์ว่าไม่ได้กระทำความผิด

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ จำเลยกับพวกไม่ได้มีหรือใช้อาวธปืนก่อนหรือขณะข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย การกระทำไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง จำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย แต่ได้ทำร้ายผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ หลังจากที่ได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเสร็จแล้ว ซึ่งศาลลงโทษจำเลยได้ตามที่พิจารณาได้ความ ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารตามมาตรา 284 และโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยฐานความผิดต่อเสรีภาพตามมาตรา 310 นั้น เป็นเรื่องนอกฟ้องไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 วรรคท้าย จำคุก 2 ปี มาตรา 276 วรรคแรก จำคุก 10 ปี มาตรา 295 จำคุก 1 ปี รวมทุกกระทงจำคุก 13 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์และจำเลยฎีกา

ศาลฎีกาตรวจสำเนาประชุมปรึกษาแล้ว โจทก์นำสืบว่าคืนเกิดเหตุหลังจากผู้เสียหายเลิกงานที่โรงงานปูนซีเมนต์ทุ่งสงเมื่อเวลา 2 นาฬิกา แล้วได้ขี่รถจักรยานสองล้อกลับบ้านมาตามถนนสายโรงปูน – กะปางแล้วแยกเข้าบ้านซึ่งห่างถนนประมาณ 200 เมตร ขณะที่ผู้เสียหายจูงรถจักรยานข้ามสะพานข้ามคลองก้างปลาไปถึงฝั่งตรงข้ามแล้ว จำเลยกับนายประสิทธิ์หรือสิทธิ์ แสงเงิน ได้ออกจากโคนต้นมะพร้าวข้างทาง เข้ากอดปล้ำพาผู้เสียหายไปที่ทุ่งนา ห่างบ้านผู้เสียหายประมาณ 3 เส้น และร่วมกันชกต่อยหน้าท้องผู้เสียหายล้มลงแล้วจำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย 1 ครั้ง ส่วนนายประสิทธิ์ไปแอบที่หัวคันนา หลังจากที่จำเลยกับนายประสิทธิ์หลบหนีไปแล้ว ผู้เสียหายกลับมาบอกนางคล่อง จันทร์เมืองไทย มารดาว่า ถูกจำเลยกับนายประสิทธิ์ข่มขืนกระทำชำเรา บิดามารดาผู้เสียหายได้พาผู้เสียหายไปโรงพยาบาลทุ่งสงในคืนนั้นแพทย์ตรวจแล้วปรากฏว่าอวัยวะเพศผู้เสียหายฉีกขาด มีเลือดออกเล็กน้อยและพบอสุจิเพศชาย เวลาเช้าประมาณ 7 นาฬิกาผู้เสียหายกับมารดาได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอทุ่งสงให้ดำเนินคดี ต่อมาวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2524 เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้

จำเลยนำสืบว่า คืนเกิดเหตุจำเลยดูแลบุตรซึ่งป่วยอยู่ที่บ้านตลอดคืนจำเลยมีสาเหตุโกรธเคืองกับบิดามารดาผู้เสียหายมาก่อน

มีข้อวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยก่อนว่า จำเลยกระทำความผิดหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว ถึงแม้ว่าผู้เสียหายจะถึงแก่ความตายเสียก่อนเบิกความเป็นพยานแต่โจทก์ก็มีคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหาย ซึ่งให้การยืนยันข้อเท็จจริงว่า จำเลยกับนายประสิทธิ์ช่วยกันกอดปล้ำ อุดปาก ลากตัวผู้เสียหายจากทางเข้าไปในทุ่งนา แล้วปล้ำถอดเสื้อผ้า ผู้เสียหายดิ้นรน จำเลยกับนายประสิทธิ์จึงชกต่อยหน้าท้องผู้เสียหายหลายครั้งจนผู้เสียหายล้ม ไม่มีทางขัดขืน แล้วจำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จ 1 ครั้ง ซึ่งร้อยตำรวจโทประเวศ แสงลี พนักงานสอบสวนเบิกความรับรองว่า ผู้เสียหายกับมารดาได้มาแจ้งความว่าถูกจำเลยกับนายประสิทธิ์ชกต่อยทำร้ายลากไปกลางทุ่งนา แล้วจำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย พยานได้บันทึกถ้อยคำผู้เสียหายไว้ตามคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายจริง นางคล่องมารดาผู้เสียหายเบิกความว่า คืนเกิดเหตุผู้เสียหายไม่กลับบ้านตามเวลา ได้รออยู่จนเวลาประมาณ 2 นาฬิกาเศษ ผู้เสียหายคลานกลับเข้าบ้านบอกว่าถูกจำเลยกับนายประสิทธิ์พาไปข่มขืนกระทำชำเรา ชกต่อยใช้อาวุธปืนขู่จนสลบในทุ่งนาใกล้บ้าน ผู้เสียหายมาถึงบ้านก็บอกเล่าต่อมารดาในโอกาสแรก ผู้เสียหายกับจำเลยและนายประสิทธิ์อยู่บ้านหมู่เดียวกัน รู้จักกัน และผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์ ไม่มีเหตุโกรธเคืองกับจำเลยและนายประสิทธิ์ ถ้าผู้เสียหายจำคนที่ฉุดคร่าพาผู้เสียหายไปข่มขืนกระทำชำเราไม่ได้ ก็ไม่มีเหตุผลประการใดที่จะแกล้งปรักปรำจำเลย ผู้เสียหายได้บอกแก่มารดาและให้การต่อพนักงานสอบสวนครั้งแรกในวันเกิดเหตุ ระบุชื่อบิดามารดาของจำเลยและนายประสิทธิ์ด้วย แสดงว่าผู้เสียหายจำผู้ที่ข่มขืนกระทำชำเราตนได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ยังได้ความจากร้อยตำรวจเอกอนันต์ นิลบริสุทธิ์ ว่าขณะเจ้าพนักงานตำรวจเข้าทำการจับกุมจำเลย จำเลยได้วิ่งหนีเข้าไปในป่าอันเป็นข้อส่อพิรุธประการหนึ่ง เห็นว่าพิจารณาตามคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายประกอบกับคำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวรับฟังได้ว่าจำเลยกับพวกได้ร่วมกันฉุดคร่าพาผู้เสียหายขณะเดินทางจะกลับบ้านเข้าไปในทุ่งนาแล้วจำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายโดยใช้กำลังประทุษร้ายชกต่อยท้องผู้เสียหายจนอยู่ในภาวะที่ไม่อาจขัดขืนได้จริง

จำเลยฎีกาต่อไปว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ เห็นว่าจำเลยใช้กำลังฉุดคร่าผู้เสียหายขณะจูงรถจักรยานแล้วพาออกทางเดินเข้าไปในทุ่งนา หลังจากจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายสำเร็จแล้ว จำเลยกับพวกก็ทิ้งผู้เสียหายไว้ ณ ที่เกิดเหตุนั้นพากันหลบหนีไปแสดงว่าจำเลยพาผู้เสียหายเข้าไปในทุ่งนาก็เพื่อจะกระทำชำเราเท่านั้น หาได้มีเจตนาพาหรือแยกเอาผู้เสียหายไปเสียจากความปกครองดูแลของบิดามารดาผู้เสียหายไม่ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ดังที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยมา ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น

มีข้อต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยกับพวกมีและใช้อาวุธปืนในการข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสองดังที่โจทก์ฎีกาหรือไม่ และหลังจากข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายแล้ว จำเลยได้บีบคอทำร้ายผู้เสียหายอีกดังที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษมาหรือไม่ พิเคราะห์แล้วปรากฏจากคำเบิกความของนายแพทย์โชคชัย เการพาพงษ์ ว่า ได้ตรวจร่างกายผู้เสียหายในคืนเกิดเหตุ ผู้เสียหายไม่ได้บอกว่าได้รับบาดเจ็บที่ร่างกายส่วนอื่น จึงตรวจเฉพาะแต่อวัยวะเพศ ร้อยตำรวจโทประเวศ แสงลี พนักงานสอบสวนก็เบิกความว่า ผู้เสียหายมาแจ้งเหตุครั้งแรกว่าถูกจำเลยกับนายประสิทธิ์ชกต่อยทำร้ายลากไปข่มขืนกระทำชำเรากลางทุ่งนา ขณะจำเลยกระทำชำเราได้ใช้มือรัดคอผู้เสียหาย ผู้เสียหายไม่ได้แจ้งว่าได้รับบาดเจ็บที่ใด ดูร่างกายภายนอกของผู้เสียหายก็ไม่พบบาดแผล หากผู้เสียหายถูกจำเลยกับนายประสิทธิ์บีบคอจนสลบหลังจากถูกกระทำชำเราแล้วซ้ำอีก เชื่อว่าผู้เสียหายคงจะแจ้งต่อแพทย์และพนักงานสอบสวนในโอกาสแรก แพทย์และพนักงานสอบสวนน่าจะพบเห็นรอยฟกช้ำตามลำคอผู้เสียหายบ้าง แต่ก็หาปรากฏไม่ ตามคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายครั้งแรกที่ให้การในวันเกิดเหตุ ผู้เสียหายให้การเพียงว่า เมื่อจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายสำเร็จแล้ว จำเลยลุกขึ้นแต่งตัวแล้วจำเลยกับนายประสิทธิ์ได้พากันหลบหนีไป หาได้ให้การถึงข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้บีบคอผู้เสียหายและนายประสิทธิ์ได้ใช้อาวุธปืนขู่จะทำร้ายผู้เสียหายอีกไม่ ผู้เสียหายเพิ่งอ้างถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวในการสอบสวนเพิ่มเติมครั้งหลัง ณ ที่ทำการพนักงานอัยการโจทก์ เห็นว่าข้อเท็จจริงยังไม่พอฟังได้ว่า จำเลยกับพวกมีและใช้อาวุธปืนในการข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายและได้บีบคอผู้เสียหายซ้ำอีกจนสลบหลังจากที่จำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยตามมาตรา 276 วรรคแรกชอบแล้ว แต่ที่ลงโทษตามมาตรา 295 อีกกระทงหนึ่งนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย

ข้อที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยบีบคอผู้เสียหายหลังจากข่มขืนกระทำชำเราโดยมีเจตนาฆ่าเพื่อปกปิดการกระทำผิด ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 289, 80 นั้น เห็นว่าข้อหาฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิด ศาลอุทธรณ์ก็วินิจฉัยว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย ฉะนั้นจึงเป็นอันว่าข้อหาฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง ฎีกาโจทก์ข้อนี้จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ที่แก้ไขแล้ว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284และมาตรา 310 โดยอ้างว่าเป็นกรรมเดียวกับการกระทำที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกพรากผู้เสียหายไปเสียจากบิดามารดา เพื่อการอนาจารนั้นเห็นว่าการฟ้องขอให้ลงโทษในความผิดเกี่ยวกับเพศตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 จะต้องปรากฏว่าจำเลยได้มีเจตนาพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร โดยใช้อุบายหลอกลวงขู่เข็ญใช้กำลังประทุษร้าย ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรมหรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่น และในความผิดต่อเสรีภาพ ตามมาตรา 310 จะต้องปรากฏว่าจำเลยมีเจตนาหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังหรือทำให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และการกระทำดังกล่าวก็ไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของการกระทำความผิดฐานพรากผู้เยาว์ เพราะการพรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดามารดาผู้ปกครองหรือผู้ดูแลนั้น ผู้กระทำไม่จำต้องมีเจตนาเพื่อการอนาจารหรือทำให้ผู้เยาว์ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ก็เป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ดังนั้นเมื่อโจทก์ไม่บรรยายฟ้องให้ปรากฏการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารและหน่วงเหนี่ยว กักขัง หรือทำให้ผู้เสียหายปราศจากเสรีภาพในร่างกายด้วยประการอย่างไรบ้าง เพียงแต่อ้างบทมาตราในกฎหมายขอให้ลงโทษมาท้ายฟ้องเท่านั้น จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) ศาลอุทธรณ์ไม่ปรับบทลงโทษจำเลยตามบทมาตราดังกล่าวชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรกกระทงเดียว ให้จำคุก 10 ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยกเสีย

Share